ดอยม่อนจอง คะนองรักหักสวาท
- AguntaloN
- 23 ก.พ. 2562
- ยาว 3 นาที
รีวิว “ม่อนจอง” แบบไม่อวย เน้นดราม่า
9-10 กุมภาพันธ์ 2562
17° 27' 15.7" 98° 31' 40.51"

เรื่องมันมีอยู่ว่า
.
เรื่องมันมีอยู่ว่าเพื่อนอยากออกไปแตะขอบฟ้า เข้าป่าหาแรงบัลดาลใจ #ทริปม่อนจองคะนองรักหักสวาท ในครั้งนี้จึงเกิดขึ้น
.
ส่วนตัวผมงานยุ่ง จึงถือเป็นตัวแถมในทริปนี้ เพราะไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย รู้แค่ว่าเป็นสถานที่เที่ยวใหม่ แถวๆบ้านเกิด ที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ชื่อ “ดอยม่อนจอง” ก่อนถึงวันเดินทางมีข่าวจากกลุ่มเฟสบุ๊ค ว่ามี ช้างป่าออกมา ในช่วงนี้ มีนักท่องเที่ยวเกือบถูกช้างเหยีบด้วย เอาละไงยังไม่ทันได้ไปไหนมี ดราม่ามารอก่อนแล้ว
.
ความพยายามคือสูงมาก หลังจากสภาพปัญหาฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพอาการหนัก ความโหยหาอากาศบริสุทธ์ก็สูงขึ้น ผมออกเดินทางจากกรุงเทพ วันศุกร์ 8 ซึ่งเช้าวันนั้นข่าวใหญ่คือ แคนดิเดตนายก ของพรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นนิวส์ฟีดตลอดทั้งวัน ก่อนขึ้นเครื่อง ประมาณสามทุ่มกว่าๆ มีไลฟ์สดให้รอติดตาม แต่เผอิญโดนเรียกขึ้นเครื่องชะก่อน... พอลงเครื่องเท่านั้น การเมืองพลิกโผ กันเลยทีเดียว แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นของทริปนี้ 55555
.
กว่าจะถึงเชียงใหม่ก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่าๆ เพราะเครื่องดีเลย์ ลงมาสัมผัสอากาศแบบดีเว่อวังมาก 19 องศา ฟินๆ กันไป วันนี้ไม่ได้ออกไปดริ้งที่ไหนน เพราะกะพักเอาแรงนะคับ
.

3 โสด 3 ไม่โสด
.
ก่อนอื่นมาดูตัวละครของทริปเรากัน ลูกทริปรวม 6 คน ชาย 3 หญิง 3 โสด 3 ไม่โสด 3 ก็ดูงงๆ ดีนะ ใครโสด ไม่โฉด ไปตามดูกันเอาครับ ภูมิหลังเป็นนักภูมิศาสตร์ 5 คน และนักฟิสิกส์ 1 คน อายุเฉลี่ย 29.5 ปี นะครัชช
.
เช้าตรู่วันเสาร์ เราออกเดินทางจากในเมืองเชียงใหม่ พร้อมสะเบียงอาหารสุดหรู เพื่อจะให้ไป ฟิน บนดอย ด้วยเมนู หมูกะทะ และชาบู เนื้อหมูสามชั้นจัดเต็มไป 3 กิโล กุ้งขาวแมคโค 2 กิโล มาม่าคัพ 9 ถ้วย (เผื่อลูกหาบ 3 คน) ขนบขบเคี้ยวแบบจัดเต็ม และที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า เราไปแค่ คืนเดียว 5555+
.

[โชว์เฟอร์ผู้ใจเย็น]
.

[สายน้อยผู้ดึง Mean]
.

[ราชาปีศาจ]
.

[นักฟิสิกส์ผู้เพ้อเจ้อ]
.

[อกันตะลอน]
.

[ราวัณชายด์]
.
ออบ แปลว่า โกรกธาร
.
จุดแรกเราแวะทานข้าวเช้ากันที่ ปั๊ม ปตท น้ำแพร่ บนถนนเส้นเลี่ยงเมืองหางดง-สันป่าตอง ที่มีร้านข้าวแกงในตำนาน “ลุงไทย” สาขา 2 เด็กเชียงใหม่ที่เป็นขาประจำหลังผับปิดต้องรู้จักกันดี ถึงความอร่อยและเผ็ดแซบ เมนูขึ้นชื่อคือ ปลากระเบน และกบ
.
หลังจากนั้น ก็ไม่ลืมแวะหากาแฟ ดีๆ ตบท้าย เราแวะกินกาแฟที่ร้าน “ต๊ะต่อนยอน” สาขา 2 แถวๆ จอมทอง ก่อนทางแยกขึ้นดอยอินทนนท์ แล้วมุ่งหน้าต่อไปอำเภอฮอด (บ้านเกิดผมเอง) แวะซื้อเสบียงเพิ่มเติม เป็นน้ำเมานิดหน่อย ก่อนเลี้ยวขวามุ่งหน้าสู่ อำเภออมก๋อย ในเส้นทาง ฮอด-อมก๋อย
.
ระหว่างทางไม่ลืมแวะพัก สถานที่ท่องเที่ยวเป็นของขึ้นหน้าขึ้นตา ขึ้นชื่อเมืองฮอดซึ่งมีอยู่น้อยนิด แต่ที่แน่ๆ เราไม่ได้แวะ ออบหลวง (ออบ แปลว่า ช่องแคบ หลวง แปลว่า ใหญ่ รวมกันเป็น ช่องแคบขนาดใหญ่) หรือถ้าจะให้เนิ้ดๆ ไปแบบนักภูมิศาสตร์ละก็ คือ โกรกธาร (Gorge) ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของร่องน้ำ ประกอบกับธารเป็นลักษณะของหุบผาชันที่ลึก และแคบลักษณะคล้ายรูปตัววี (V-Shape) เกิดจากกระบวนการกัดเซาะที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง จากกระแสน้ำไหล จนสามารถกัดเซาะหินที่แข็งแรงได้ มักเกิดในกรณีที่ธารน้ำเดิมที่มีอยู่ก่อน ต่อมาเกิดการยกตัวของแผ่นดิน ธารน้ำจะยังคงรักษาแนวร่องน้ำเดิมไว้ได้ เนื่องจากมีพลังแรงในการกัดเซาะแผ่นดินที่ยกตัวสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง (แต่พวกเราไม่ได้แวะ เพราะมาบ่อยมากแล้ว)
.
สนสามใบ
.
ถัดมาถึงจุดแวะพักที่ 2 คือ ลานสวนสนบ่อแก้ว ซึ่งก่อนจะถึงก็มีรื้อฟื้นความรู้ทางภูมิศาสตร์และป่าไม้กันหน่อย ว่าป่าสนที่นี่เป็น สนสามใบ (Pinus kesiya) ความแตกต่างของสนสามใบและสองใบ นอกจากจำนวนใบในกระจุกนึงแล้วคือ ความสูงที่พบ สนสองใบจะอยู่ต่ำกว่า พบได้ในพื้นที่ที่สูง 50-800 MSL ส่วนสนสามใบ พบได้ในพื้นที่สูง 800-1400 MSL ครับท่าน นอกจากความรู้ที่ไม่ค่อยได้ใช้ในชีวิตประจำวันพวกนี้แล้ว เราก็ไม่ลืมที่จะแวะถ่ายรูป Group Shot เกร๋ๆๆ กันไป ลานสนที่พื้นเต็มไปด้วยใบแห้งสีเหลืองแกมเขียว พื้นโล่งเตียน ตัดกับแนวต้นสนที่เป็นระเบียบแบบแผน เป็นฉากหลังที่อลังการ อย่าบอกใคร
.
เราออกจากสวนสน มุ่งหน้าสู่ อำเภออมก๋อยจุดหมายปลายทางที่ ดอยม่อนจอง โดยเวลาก็ล่วงเลยมาถึงเที่ยงกว่าๆ แล้ว ท้องใส้เริ่มปั่นป่วน ความหิวเริ่มถามหา จึงตกลงกันว่าจะแวะทานข้าวกันก่อนขึ้นไปบนหมู่บ้าน แต่ไม่ลืมที่จะโทรเช็คจุดรับนักท่องเที่ยว เพื่อประสานกับลูกหาบและเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าแม่ตื่น เพราะจากที่อ่านในรีวิว เขาบอกว่าเราควรไปถึงที่หมู่บ้านก่อนเที่ยง เพื่อจะได้ใช้เวลาในการเดินทางจากจุดรับนักท่องเที่ยวถึงจุดกางเต้นท์แบบไม่รีบร้อนมากนัก
.
เสียงจากปลายสาย ที่เป็นพี่ชาวเผ่ามูเซอ บอกว่ารีบๆ มาหน่อย เขาจะปิดไม่ให้ขึ้นแล้ว ฉะนั้นไม่รอช้าหลังวางโทรศัพท์ ประสานกับทางจุดบริการนักท่องเที่ยว ก็รีบโซ้ยยย... ส้มตำ ไก่ย่าง (เลือกร้านแบบไม่เจียมสังขาร ว่าข้างบนดอยจะไม่มี ห้องน้ำ บ้าบอคอแตกกันไป) ร้านส้มตำ ไก่ย่างวิเชียรบุรี อยู่ตรงหน้าเทศบาลตำบลอมก๋อย อร่อยเหาะขอรีวิว โดยเฉพาะไก่ย่าง นี่แบบถูกใจมาก เพราะมันแห่งๆ ไม่มีมัน หนังกรอบ อร่อยฟิน
.


เหยียบเลย พ่อโชว์เฟอร์ใจเย็น
.
พอออกจากร้านส้มตำ แล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่จุดบริการนักท่องเที่ยว ระหว่างทางไม่ลืมแวะร้านสะดวกซื้อ เหมาขนมขบเคี้ยวกันแบบชนิดที่ว่า นี่มึงไปแค่คืนเดียว คืนเดียวเอง เอาไรไปเยอะแยะ เวลาตอนนี้บ่าย 2 แล้วยังไม่ถึงหมู่บ้าน เหยีบเลยครับ เหยียบ
.
เอ่อ เราลืมแนะนำโชเฟอร์ขับรถ คนนี้ ใจเย็นมากๆๆ และมากๆ บ่าย 2 แล้วยังไม่ถึงจุดบริการนักท่องเที่ยว แต่พี่แกก็เน้นความปลอดภัย ขับแบบปลอดภัย 5555+ อยากจะโดดไปขับเอง แต่ก็นั่นแหละฮะ เพื่อความปลอดภัย และความสบายใจของเพื่อร่วมทริป ผมเลยนั่งสงบเสงี่ยม ทำได้แค่บอกว่า “เหยียบเลยๆๆๆๆๆๆๆ ล๊วกเพี่ยๆๆๆ”
.
ขะจั้ยเวยๆ
.
และแล้วเราก็มาถึงหมู่บ้าน มูเซอ ซึ่งเป็นจุดให้บริการนักท่องเที่ยว นัดพบลูกหาบ ยืมอุปกรณ์กางเต้นท์ ถุงนอนต่างๆ ทางเข้าหมู่บ้าน ดูเงียบๆ เราเริ่มสังหรณ์ว่าเขาจะเปิดทำการไหมเนี่ย สองข้างทางหมู่บ้าน ร้านค้าปิดหมด บ้านทุกหลังปิดสนิท ไม่มีผู้คนเดินเพ่นพ่านเลย เหมือนบ้านร้างเลยก็ว่าได้ และก็ถึงบางอ้อ เมื่อเห็นรถตู้เกือบ 20 คัน จอดเรียงรายเข้าไปสู่ที่จอดรถ และสถานีบริการนักท่องเที่ยว พอเรามาถึง พี่สาวชาวมูเซอ ก็ทักทายและถามว่าใช่ที่โทรมาใช่ไหม ฮาฮะ เรารอดแล้วๆๆๆๆ ได้ขึ้นแน่ๆ นึกในใจ
.
แต่ไม่เป็นเช่นนั้นหลอก พี่แกบ่นพืมพัม พร้อมโทรประสาน ลูกหาบ 3 คนเพื่อขึ้นไปกับพวกเรา และแกก็บ่นว่า นี่คนจะหมดหมู่บ้านอยู่แล้ว เมื่อเช้ารับกลุ่มทัวร์นักท่องเที่ยวเกือบ 300 คน (บ้าบอคอแตก นี่ข้างบนไม่เป็น เทศกาล เลยรึไง คนขนาดนั้น) ยังประสานไม่ทันจบ พี่แกก็ได้รับสายโทรศัพท์เรียกเข้า พร้อมคิ้วขมวดยกใหญ่ หลังวางสาย พี่แกก็มาแจ้งกลุ่มเราเพื่อทราบว่า
.
“ข้างบนมีคนเป็นลม อาการโคม่า 2 คน กำลังช่วยชีวิต ต้องรีบแล้ว ยังจะไปอยู่มั้ย !!!!!”
.
มากันขนาดนี้แล้ว ต้องไปครับ ไม่หวั่นเกรงใดๆ เรียกลูกหาบมาให้ไวๆ เลยครับ เพราะทางเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า ต้องขึ้นไปช่วยชีวิตคนข้างบน และจะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นแล้วสำหรับวันนี้....... ขะจั๊ยเวยๆๆ หมู่เฮา
.

.

.
ทางของฝุ่น และความลาดชัน
.
14.30 น.
ระหว่างรอการประสานรถวิบาก และลูกหาบที่จะพาเราไปถึงจุดเริ่มเดิน เห็นป้ายระเบียบและแผนที่จุดท่องเที่ยว ดอยม่อนจอง บริเวณสถานี สิ่งแรกที่เราควรรู้และสำเหนียก คือ “ควรมาถึงสถานีก่อนเที่ยง ย้ำ ก่อนเที่ยง” เพื่อที่จะได้ใช้เวลาในการนั่งรถวิบากจากสถานีบริการ ไปยังจุดเริ่มเดิน ซึ่งใช้เวลาอีก 1 ชั่วโมง และระยะทางเดินเท้าไปที่จุดกางเต็นท์อีก 6 กิโลเมตร ปกติใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมงสำหรับคนพื้นราบและคนเมืองหลวงผู้ไม่เคยออกกำลังกาย และค่าเฉี่ลยเวลาในการเดินของลูกหาบและชาวเขาคือ 1 ชั่วโมง นะครัชช
.
ณ เวลานั้น มันเป็นความวุ่นวาย ปนความเร่งรีบ หลังจากพี่สาวชาวมูเซอหารถวิบากและทีมลูกหาบให้เราได้ เป็นเด็กหนุ่ม 2 คน และน้องผู้หญิง อายุ 14 (บ้าบอ น้องจะไหวมั้ย) พอรถมาเทียบท่า ก็ต้องใช้ความเร็วเหนือแสงขนของขึ้นรถ และออกตัวในทันใด แทบไม่ได้จัดระเบียบการนั่งกระบะให้ลงตัว พวกเราเลือกนั่งข้างหลังเพื่อชื่นชมบรรยากาศป่าเขาลำเนาไพรอย่างเต็มที่ (และเพิ่งมาสำนึกได้ว่าคิดผิด หลังจากเจอเส้นทางที่วิบากพอดู)
.
รถโฟว์วิล เคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงพร้อมทางที่วิบากจริงๆ มีมุมขึ้นเขาแบบ Slope 60% เลยก็ว่าได้ คือต้องจับราวไว้ ไม่งั้นตก และที่ตามมาด้วยคือ ฝุ่นๆ แบบทำให้สีผมเปลี่ยนสีได้เลย หลังวิบาก กลิ้งซ้ายขวามาสักพักเรามาถึงจุดเริ่มเดิน และก็ไม่เกินคาด ตรงบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยรถโฟว์วิล เกือบ 30 คัน และกลุ่มพี่ๆ คนขับรถ ซึ่งเป็นชาวบ้านที่นี่นั่นเอง ไม่แปลกใจที่ในหมู่บ้านมันเงียบขนาดนั้น
.
ไม่ต้องห่วงเขา มึงควรห่วงตัวเอง
.
15.30 น.
เราเพิ่งจะถึงจุดเริ่มเดิน ลูกหาบบอกว่า พี่ๆ ไปก่อนได้เลยครับ มีทางเดียวไม่หลง รีบขึ้นไปให้ถึงก่อนค่ำ ย้ำ ต้องไปให้ถึงก่อนค่ำ ไม่งั้นลำบาก เพื่อนเราก็แอบเป็นห่วงน้องผู้หญิงที่เป็นลูกหาบ แต่ผมบอกว่า
.
“มึงไม่ต้องห่วงเขา ห่วงตัวเองเหอะ อย่าเป็นภาระเพิ่มให้เขาก็พอ”
.
หลังเราเริ่มออกเดินทางไปสักพัก นิ๊ดเดียวเท่านั้นครับ น่าจะแค่ 200 เมตร คณะลูกหาบเราก็เดินแซงพวกเราไปแล้ว นั่นไง กูบอกแล้ว ไม่ต้องห่วงน้องเขา ห่วงตัวมึงเอง ก็พอ และตามมาด้วย พี่ๆ เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า ที่ดูเร่งรีบ เพราะจะต้องขึ้นไปจัดการ และช่วยเหลือคนป่วยข้างบน เอ่อ เราลืมบอกไป ตอนที่ผ่านตรงจุดตรวจของเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า เขาคุยกับคนขับรถเราว่า "ตอนนี้เรียกรถโรงพยาบาลมาแล้ว ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล ถ้าทัน..."
.
เราใช้เวลาเดินไปเกือบ 1 ชั่วโมง ช้าบ้าง เร็วบ้าง ซึ่งคิดว่าน่าจะเกือบ ครึ่งทางแล้ว ระหว่างทางก็มีเจอคณะลูกหาบที่พักตามจุดต่างๆ น้องเขาบอกว่า นี่ครึ่งทางแล้ว หมดทางขึ้นเขานี่ก็สบายแล้ว เดินสบายๆ และน้องเขาก็บอก งั้นพวกผมขอเดินไปก่อน เราก็แวะถ่ายรูปวิวกันบ้าง นั่งคุยกันบ้าง แบบ ชิวๆๆๆๆๆๆ (หรือ แบบไม่สำนึกว่ามันจะมืดแล้ว)
.
วังเวง วิเวก โหวงเหวง
.
16.30
ด้วยที่เราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ขึ้นเขาจึงไม่มีใครตามเรามา ไม่มีทั้งข้างหน้า และข้างหลัง แบบว่า พอรู้สึกตัวได้ว่า เราเป็นกลุ่มสุดท้าย อย่างโดเดี่ยว ไม่มีลูกหาบด้วย เอ่อนะ พอสำนึกได้ บรรยากาศเริ่มวังเวงทันที เราเริ่มเข้าส่วนที่เป็นป่าทึบเลย แบบมันเป็นด้านตรงข้ามกับแสงอาทิตย์ บางช่วงมันดูวังเวง และใกล้ตะวันลับขอบฟ้าเต็มที นั่นไง เอาละไง ดราม่าอีกแน่กู
.
เราพยายามเร่งฝีเท้า แต่ก็ไม่ได้ไปเร็วได้ขนาดนั้น เพรายังมี มนุษย์เมืองที่ไม่เคยออกกำลังกายเลยอยู่หลายคน ระหว่างทางมันเริ่มเงียบ แบบเงียบมากจริงๆ มีเสียง อะไรบางอย่างเคลื่อนไหว
.
“ระหว่างทางมันเริ่มเงียบ แบบเงียบมากจริงๆ มีเสียง อะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว”
.
นั่นไง กูว่าละ เอ้ารีบเดินเลย อะไรก็ช่างแม่ม ในใจก็คิดว่า แต่เอะ 2 คนที่อาการโคม่านั่นคงจะ ไม่เป็นไรแล้วละมั้ง เพราะระหว่างทางเราไม่เจอใครเดินสวนกลับลงมาเลย เดินมาต่ออีกสักพักซึ่งตอนนี้ พระอาทิตย์น่าจะใกล้ลับขอบฟ้าเต็มที เป็นช่วงโพล้เพล้ แบบผีตากผ้าอ้อมอย่างแท้จริง แต่เสียงคนพูดคุย ที่ดังสนั่นป่า ก็ทำให้เราชื้นใจได้บ้าง
.
แสดงว่าเราใกล้ถึงจุดกางเต็นท์ ที่เหมือนจะเป็น ปอยหลวง บนดอยเลยก็ว่าได้ หลังเดินต่ออีกไม่นาน เราก็พบ คณะลูกหาบของเรา ซึ่งกำลังเตรียมพื้นที่ กองไฟ และกางเต้นท์รอพวกเราแล้ว และเบื้องหน้าเป็นกองทัพผู้คน และเต้นท์ เกือบ 20 หลัง เราเป็นกลุ่มสุดท้าย เต้นสุดท้ายของทริป ศุกร์-เสาร์นี้
.

ขนาดหมายัง หอบ
.
หลังวางสัมภาระ ไม่รอช้ารีบไปยัง “เนินหมาหอบ” ที่อยู่เบื้องหน้าลานกางเต้นท์ของพวกเรา โอ้วๆๆๆๆๆ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เพราะบรรยากาศยามเย็น แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ กระทบกับทุ่งหญ้าเหลืองทองอร่ามทั้งทิวเขา รับรู้และสัมผัสได้ของที่มาของชื่อ เนินหมาหอบเลยทีเดียว ว่าขนาดหมามันขึ้นเนินนี้มันยังหอบ แล้วคนจะเหลืออะไร
.
ไม่รอช้าจัดแจงหาพื้นที่ตัวเอง ยกกล้องออกมาถ่ายรูป และจุดรูปหมู่กันเสียหน่อย สิ่งที่ดียิ่งกว่าวิวสวยๆ ตรงเนินหมาหอบนี่ เป็ฯจุดเดียวที่มีสัญญาณแบบเต็มเหนี่ยวไปเลย เพื่อนร่วมทริปเราบางคนเลยปักหลักกันอยู่ตรงนี้ ส่วนผม อะเหรอ แรงยังมีเหลือ จึงไม่พลาดที่จะขอไปดูให้ถึงบนยอดเนิน และชื่นชมพระอาทิตย์ตกที่ดอยม่อนจองสักที
.
พอเดินขึ้นดอยหมาหอบมาได้ แม่เจ้าๆๆๆ มันอลังกว่าเมื่อกี้อีก ลมแรงมากๆครับ มองเห็นแนวแม่น้ำแม่ตื่นเบื้องล่าง และกลุ่มแนวเทือกเขาถนนธงชัย เป็นวิวภูเขาไม่เคยเห็นมากก่อนเลยในเชียงใหม่ เพราะแม้ว่าเราจะเรียนภูมิศาสตร์ แต่ทุกครั้งที่ขึ้นดอย เราไม่เคยมาขึ้นดอยทางตอนใต้ของเชียงใหม่เลยไปด้านเหนือตลอด จึงเป็นอีกหนึ่งภาพจำที่ดีมากจริงๆ
.

.

.

สนธยา เมื่ออาทิตย์ลับฟ้า 6 องศา
.
ขึ้นไปข้างบนนี่ ผู้คนเยอะกว่าข้างล่างอีก เราเห็นหัวคนเท่าไม้ขีดไฟพร้อมขาตั้งกล้องที่ทุกคนก็คงรอถ่ายภาพและบรรยากาศพระอิทตย์ตกดินที่ดอยม่อนจอง และพระอาทิตย์ก็ค่อยๆ ลับขอบฟ้าลงไปแต่ยังคงหลงเหลือแสงพระอาทิตย์ ด้วยการกระเจิงของแสง
.
Civil twilight (แสงเงินแสงทอง หรือ แสงสนธยาทั่วไป)
แสงเงินแสงทองชนิดนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อขอบบนของดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไปจนถึง 6 องศา ช่วงเวลานี้เรียกว่า ช่วงโพล้เพล้ (Dusk) ที่มุม 6 องศานี้ เราจะสังเกตเห็นขอบฟ้าได้ชัดเจนมากหากสภาพอากาศดี
อีกทั้งยังยังเป็นจุดที่เริ่มสังเกตเห็นดาวสว่างที่สุดอย่างดาวศุกร์ได้อย่างชัดเจนด้วย และในช่วงเวลานี้ แสงจาก บรรยากาศโลกจะยังสว่างพอที่เราสามารถมองเห็นอะไรได้โดยไม่ต้องเปิดไฟ โดยทั่วไปแล้ว Civel twilight จะเป็นเวลา 20-30 นาที หลังดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า
.

.

30 ยังแจ๋วนะน้อง
.
พอเริ่มมืด ผมก็เดินลงมาจากบนเนินดอยม่อนจอง เพราไม่มีไฟฉายติดไปด้วย มีเพียงแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือใช้นำทาง พอลงมาถึงที่กางเต้นท์ เพื่อนร่วมทริปก็กำลังจัดแจงเตรียมอาหารมื้อพิเศษ เป็น “หมูกะทะ และกุ้งอบเกลือ” (คือ พวกมึงกินหรูอยู่บายมาก แทบไม่เหมือนว่ามาเดินป่า)
.
ผมโชว์ผีมือเองกุ้งอบเกลือ ที่ไม่ได้ใส่เกลือเพราะลืมเอามา แต่มันก็น่าจะเค็มแล้วแหละ คนอื่นเขาก่อกองไฟกัน เรานี่ไม่สนใจเลยครับ ปูเสือ วางแก๊สปิกนิค ตั้งเตาหมูกะทะ เปิดแก๊ส และ เริ่มปาร์ตี้ ได้เลย
.
แช่วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เสียงหมู แนบไปกับกระทะร้อนๆ บรรยากาศเย็นๆ มันช่าง อัศจรรย์
.
เราชวนคณะลูกหาบของเรามาร่วมวงหมูกะทะด้วยแบบไมตรีจิต ตอนแรกพี่ๆเขาไม่กล้าเท่าไหร่ เพราะโดยทั่วเขาเขาคงไม่เคยมี นักท่องเที่ยวชวนเขากินข้าวร่วมวงกันแบบนี้ เราคงเป็นคนกลุ่มน้อยที่ทำแบบนี้ พอเริ่มคุยกันไปสักพัก ก็รู้ว่า น้องเขาอายุ แค่ 24 ส่วนน้องผู้หญิงอายุ 14 บ้าบอ ที่เราแก่ขนาดนั้นเลยรึ (30 ยังแจ๋วน้ะน้อง)
.

ทางช้างเผือกและร่างไร้วิญญาณ
.
น้องเขาเล่าว่า เมื่อก่อนยังไม่เป้นที่ทอ่งเที่ยวแบบนี้ พวกผมจะมาเที่ยวบนนี้ปีละครั้ง เท่านั้นเอง และมาหาของป่า ล่าสัตว์บ้าง ป่าที่นี่อุดมสมบูร์อยู่ มีช้าง มีกวาง และสัตว์ๆ อื่นๆ อีกมาก แต่ยังไม่เจอเสือนะ
.
คุยกันไปเรื่อยเปื่อย จนมาถึงเรื่อง ที่เพื่อนเราเก็บเงียบไม่บอกเรา ก็เริ่มเปรยๆ ออกมา ว่า ช่วงเวลาที่เราขึ้นไปบนเนินม่อนจอง และคนอื่นๆ อยู่ตรงลานกางเต้นท์ ก็มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น เพราะ พี่ๆ เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า จัดแจงหาบร่างไร้วิญญาณของนักท่องเที่ยวคนนึงลงไปยังหมู่บ้าน
.
“พี่ๆ เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า จัดแจง หาบร่างไร้วิญญาณ ของชายคนนึงลงไปยังหมู่บ้าน”
.
ผ่านเส้นทางเดิน และตรงที่เรานอนกัน ขอให้ผู้เสียชีวิตไปสู่พบภูมิที่ดี จบท้ายของการทานอาหารเย็นแบบหลอนๆ โดยที่ลูกหาบทิ้งท้ายให้เราก่อนแยกย้ายไปนอนว่า “ถ้าพี่ๆ นับถือศาสนาพุทธ ก็ไหว้พระก่อนนอนะครับ” 555555+ เอ่อดี มึงทิ้งท้ายได้ดี
.
แต่ก่อนที่เราจะนอน ก็ตกลงกันว่า อุตส่าห์ขึ้นมาถึงขนาดนี้แล้ว ขอออกไปนอนดูดาว ทางช้างเผือกกันสักหน่อย เพราะฟ้ามืดสนิท ดวงดาวเป็นล้านดวงที่ไม่เคยเห็นในเมืองใหญ่ เราออกเดินเรียงแถว พร้อมมีลูกหาบไปเป็นเพื่อนด้วย 1 คน ไปนอนดูดาวกันที่ เนินหมาหอบ แบบชิลๆๆ พอไฟทุกดวงดับลง การแสดงของดวงดาวก็เริ่มขึ้น มีดาวตกด้วย และท้องฟ้าที่เราคุ้นเคยมันก็กลายเป็นสิ่งที่น่าค้นหา มีดางดวงเล็กๆ มากมาย เห็นแนวทางช้างเผือกพาดผ่านกลางม้องฟ้าที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ฟินๆ กันไป แบบนอนนิ่งฟังเสียงลมพัดเกือบ 10 นาที หลังจากนั้น บรรยากาศเริ่มวังเวงอีกครั้ง หลังลูกหาบเรา กล่าวสุนทรพจน์ ชวนพวกเราฟังเสียงลมพัดว่า มันเป็นเสียงที่เหมือนจะมีความหมาย เหมือนว่ามันกำลังสื่อสารกับเราอยู่ โอเค มึงเกือบทำได้ดีละ เว้นแต่ว่าเพิ่งมีภาพหลอนของการหาบร่างไร้วิญญาณผ่านไปเมื่อตะกี้นี้
.
จบคืนนี้ ด้วยเนินหมาหอบ และกลับมานอนในเต๊นท์ ลมบนนั้นแรงมากๆ และอากาศค่อนข้างเย็นเลยครับ
สวัสดี ราตรีสวัสดิ์ประเทศไทย
.

อรุณรุ่ง ที่ผาสิงห์
.
เสียงลมยังคงพัดแรง
เสียงนาฬิกาปลุกตอน 6 โมงเช้า ขี้เกียจตื่นๆสุด มีแสงอรุณโผล่มาแล้ว แต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เรารีบปลุกกันตื่น และออกเดินขึ้นดอยหมาหอบอีกครั้งเพื่อไปเจอแสงแรกบนดอยม่อนจอง ข้างบนดูอลังการกว่ามาก แต่เป็นคนละบรรยากาศกับตอนเย็น ผู้คนมากมาย รอถ่ายช่วงเวลาที่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าออกมา เส้นทางจากบนเนินหมาหอบไปยัง ดอยผาสิงห์ ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของเนินดอยม่อนจอง ระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร ระหว่างทางผ่านที่ราบกว้างมากๆ เขาตั้งชื่อว่าเป็น สนามกอล์ฟ์ช้าง ใช่ครับไม่แปลกใจหลอก เพราตลอดทางเดินมันจะมีขี้ช้าง อยู่ตลอดเวลา แสงอาทิตย์เริ่มทำให้อากาศอบอุ่นขึ้นๆ จนถึงร้อนแล้ว เพรามันเริ่มจะสายแล้ว
.
เราเดินไปอีกครู่นึง พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศวิวเขา ท้องฟ้า และสายลมบนดอยม่อนจอง สักพัก ก็เต็มอิ่ม และเริ่มเดินกลับ เพราะคณะทัวร์ที่พักกันบนนี้ เริ่มเดินลงดอยกันหมดแล้ว และเราก็จะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ลงดอย อีกกกกกกกก
.

.

.

.

.

.

.

.

ม่อนจอง เรื่องเล่าของเรื่องราว
.
พวกเราลงมาถึงจุดกางเต้นท์ของเรา เปิดเตาแก๊ส ต้มน้ำ เพื่อทานอาหารเช้า เป็นมาม่าคัพ ในขณะที่คณะทัวร์กำลังเร่งฝีเท้าเดินลงเขากันไป เราหาได้สนใจในความเคลื่อนไหวภายนอกไม่ 55555+ เรียกว่าคน บ่ ฮู้ฟ้าและไม่ลืมต้มกาแฟร้อนๆ แต่ก็กลัวว่าพอกินปุ้บ อาการปวดท้องมันจะมาทันที
.
พวกเราเก็บข้าวของ เต้นท์ ขยะ และเตรียมตัวเดินลงเขา เป็นกลุ่มสุดท้ายอีกครา ขาเดินกลับค่อนข้างเร็ว ผมทิ้งระยะทางเพื่อนอยู่นานอยู่ เพราะใช้วิธีการวิ่งลงดอย 55555+
.
เรื่องราวของดอยม่อนจองนั้นยังไม่จบหรอกครับ
เพราะหลังจากลงมาถึงสถานี ข่าวของการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวก็เป็น ทอล์คออฟเดอะวิลเลจ ที่นั่น เราไปสืบกันมาได้ความว่า เป็นเหมือนคนที่เสียชีวิต จะมีอายุมากแล้ว และมีโรคประจำตัวรึป่าว และข่าวแว่วว่าเป็นอาจารย์ชมรมดาราศาสตร์ ที่หมาวิทยาลัยชื่อดังของเชียงใหม่ เราก็หาข้อมูลกันใหญ่
.
หลังจากลงดอยมาก็พบว่า กระแสเรื่องการเสียชีวิตบนดอยม่อนจองครั้งนี้ ก็แพร่กระจายไปในโลกโซเซี่ยวเพรามีคนถ่ายรูป คณะลูกหาบที่กำลังพาร่างไร้วิญญาณนั้นออกจากป่า ความพีค มันอยู๋ที่ใต้คอมเม้นนั้น เป็นการบรรยายถึงประสบกาณณ์หลอนบนดอยม่อนจองของหลายๆ คนหลายๆ ช่วงเวลา บ้างก็บอกว่ามันเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ที่จะขึ้นไป สมัยก่อนต้องมีการทำพิธีเปิดป่าขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และลี้ลับ บ้างก็บอกว่าเขาก็เป็นคนนึงที่สูญเสียภรรยาที่นั่นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และล่าสุดคือ เกิดเหตุช้างเหยีบนักท่องเที่ยวที่ไปตั้งเต้นท์ในเส้นทางเดินของช้าง แต่โชคดีที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไร
.

.


.

.
ท้ายที่สุดความทรงจำของม่อนจอง ยังคงมีเสน่ห์สำหรับผม
เป็นทริปม่อนจองที่ไม่ลองไม่รู้ และถ้ารู้แล้วจะลองไปต่ออีกสักรกอบก็ตามใจคุณ
เราปิดทริป ม่อนจองคะนองรักหักสวาทอย่างเป็นทางการ
ด้วยการที่คณะลูกทริปมาส่งผมที่สนามบิน เพื่อมาผจญกับหมอกควันต่อที่กรุงเทพฯ
.
อกันตะลอน 10 กุมภาพันธ์ 2562
Comentarios