เลห์ เสน่ห์คนลวง ภาค 1
- AguntaloN
- 15 มี.ค. 2562
- ยาว 3 นาที
#ทริปเลห์เสน่ห์คนลวง
N 34 ํ9'9'' E 77 ํ 34'35''
บอกเลย แค่เริ่ม อกันตะลอน ก็เหนื่อยแล้วว
“อาจเงียบหายไป อย่าตกใจ พี่ไปตามหา แรงบันดาลใจ”
ทริปนี้ยาวนานพอดู 19 - 30 ตุลาคม 2561 ไปเริ่มกันเลยครับ

.
Day 1 : ทริปเลห์เสน่ห์คนลวง
.
ทริปฉุกเฉินที่เพื่อนชวน มือไวใจเร็วกดจองตัวเครื่องบิน 1 เดือนก่อนเดินทาง ทำ Passport ใหม่ 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง (ทำที่เชียงใหม่เสียด้วย) ทำวีซ่า 1 อาทิตย์ก่อนเดินทาง เอาเป็นว่าตามๆ เพื่อนไปแพลนผมจบตัเงแต่ถึงสนามบิน เพราะไม่ว่าว่าไปเที่ยวไหนบ้าง นอนที่ไหนบ้าง รู้แค่ว่าไปกี่วัน จ่ายเท่าไหร่แค่นั้น ไม่รู้แม้กระทั่งเพื่อนร่วมทริปว่าเป็นใครทราบแค่ว่าเป็นเพื่อนของเพื่อน รวม 9 คน(เราไปเป็นคนที่ 9 ซึ่งเป็นคี่ งือๆๆ)
.
พอถึงสนามบินแวะชดเบียรก่อนเช็คอิน 1 แก้ว แล้วขึ้นไปเช็คอิน ดราม่าแรกคือ พนักงานสายการบินบอก พี่ปริ้น e-visa มาผิดค่ะ ต้องเอาตัวที่มันมีบาร์โค๊ดด้วย ซวยแตาเริ่มเลยตรู พนักงานก็แนะนำให้ไปปริ้นที่ สนง ตำรวจท่องเที่ยวตรงชั้น2 พอไปถึงเจอพ่อหนุ่มตาน้ำข้าวที่มีเมียเป็นสาวชาวลาวที่น่าจะมีปัญหาเรื่องไรสักอย่างและไม่มีเงินติดตัว
.
เราไปปริ้น e-visa.ใหม่ก็ออกมาเป็นแบบเดิมไม่มีบาร์โค๊ดนั่งงมอยู่นาน จนไปถึงเมนูเช็คสถานะ e-visa บ้าบออยุ่นี่เอง เสียค่าปริ้นไปแผ่นละ 20 บาท จัดไปครัชชช
.
เข้าไปใน Gate ก็กังวลเรื่องซิมการ์ดที่เปิดใช้งานเพราะยังไม่ได้ลงทะเบียนนั่งแงะโทรศัพท์อยู่นาน ทำตามคำแนะนำกด *120 โทรออกมันบอกให้เติมเงิน จึงโทรเข้า call center พนักงานบอกว่าพี่ต้องกดโทรออกไปเยอร์ไหนสักเบอร์เพื่อให้ระบบตรวจเจอว่าพี่ Active.แล้ว อะเครโล่งไป จัดการเรื่องซิมเรียบร้อยก่อนขึ้นเครื่อง
.
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม ถึงสนามบินเดลี อินทิราคานที ตอนประมาณ 5 ทุ่ม ฉายเดียวเพราะเราจองคนละสายการบิน คนละไฟลท์กับเพื่อน คงเจอกันอีกทีที่สนามบินเลห์


.
Day 2 : มนต์เสน่ห์แห่งเลห์
.
มนต์เสน่ห์แห่งเลห์ที่ลวงคนไทยผ่านการรีวิว ทำให้บรรดา Sight Seeing ของเมืองมีแต่แก๊งนักท้องเที่ยวชาวไทย


.
หลังจากนอนพักเอาแรงที่สนามบินเดบีอินทิราคานธี ถึงตี 5.45 ก็ถึงเวลาเที่ยวบินจากเดลีมายังเป้าหมายของพวกเรา "เลห์-ลาดักห์" เมืองในม่านเขาและธารน้ำแข็งที่อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 3500 เมตร เมืองลาดักห์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นลาดักห์ ในเขตแคชเมียร์ หมุดหมายการท่องเที่ยวของเหล่านักท่องเที่ยวชาวไทย
.
ก่อนขึ้นเครื่องก็ตะงิดๆแล้ว ทำไมมีแต่แก๊งคนไทยเต็มไปหมด นับได้เกือบ 4-5 แก๊งเฉพาะเที่ยวบินเดียวกัน 1 ใน 3 ของเที่ยวบินนี้ น่าจะเป็นกลุ่มคนไทยที่ใช้เวลาช่วงวันหยุดมาตามแรงบันดาลใจที่ เลห์
.
ตัวเรานั้นเฟลนิดหน่อยเพราะได้ที่นั่งทางเดิน ไม่ได้ window seat ทางด้านซ้ายตามที่อ่านรีวิวไว้ เพราะเส้นทางระหว่างเดลี ไปเลห์ คุณจะได้พบกับเเสงแรกที่ตกกระทบกับแนวสันเขาที่ถูกประดิษฐ์อย่างปรานีต ด้วยน้ำมือของธรรมชาติ หรือถ้าเแาให้เนิ้ดๆ หน่อย ก็คือลักษณะภูมิประเทศที่เกิดขึ้นจากการกระทำของธารน้ำแข็ง (gracier) ทั้งแนวสันเขาที่ถูกกัดเซาะ เว้าแหว่งเป็นสันสวยงาม หรือที่เรียกว่า arated แนวธารน้ำแข็งและหิมะปกคลุมยอดเขาที่ปราศจากต้นไม้ ดูสะดุดตาและสวยงามยิ่ง แม้จะมองจากตำแหน่งที่นั่งริมทางเดิน
.
เช้านี้ที่สนามบินเลห์ แคว้นลาดัก ดูเงียบสงบ เครื่องแลนดิ้งถึงพื้นสนามบิน เผยให้เห็นบรรยากาศโดยรอบที่โอบล้อมด้วยภูเขา แต่พื้นที่ดูแห้งแล้ง โล่ง มองทอดยาวมีแต่สีเทา และสีเหลืองเขียวของเหล่าต้นไม้ที่กำลังแข่งกันเปลี่ยนสีรอการผลัดใบ บริเวณโดยรอบสนามบินออกคล้ายอารมณ์ค่ายกักกัน มีชุดกองกำลังทหารวางตัวอยู่เป็นจุดๆ
.
พอก้าวลงจากเครื่องเท่านั้น ความหนาวเย็นเข้ามาปะทะใบหน้า อุณหภูมิน่าจะประมาณ 5 องศาเห็นจะได้ ทำให้อดไม่ได้ที่จะยกกล้องมือถือมาถ่ายรูป และก็นั่นแหละครับ เลยโดนเตือนจากเจ้าหน้าที่ไปหนึ่งที เพราะสนามบินที่นี่ห้ามถ่ายรูปครับ คบ้ายๆ จะเป็นสนามบินทางการทหารเสียด้วยซ้ำ
.
สักพักมีรถ คล้ายรถเมล์เล็กมาจอดรับเรามายังตัว terminal ซึ่งมีขนาดเล็กมากพอๆกับท่ารถขนส่งในบ้านเราเสียอย่างนั้น ด้วยที่ทริปนี้ผมมาแบบเป็นส่วนเกินจองแบบติดสอยห้อยตามมาเลยเป็นว่าต้องแยกเดินทางกับเพื่อนร่วมทริปอีก 8 คน ที่กำลังจะตามมาอีก 1 ชม หลังจากนี้
.
บรรยากาศที่สนามบินไม่ได่วุ่นวายอะไร เอาเป็นว่าไม่มีอะไรเลย จำพวกร้านอาหาร ร้านกาแฟอย่าถาม มีตู้แลกเงินอยู่ 1 จุด แต่นั้น
.
หลังนั่ง ยืน เดินรอเพื่อนร่วมทริปมาเกือบ 1 ชม ต่อมาเพื่อนๆ ก็มาถึงพร้อมกับความดราม่าลำดับที่ 2 ของทริป คือเพื่อนอีก 2 คนไม่สามารถผ่าน ตม ทีาเดลีมาได้ จึงเป็นว่ามากันอีกแค่ 6 คน อีก 2 คนยังไม่รู้ชะตากรรมอยู่ที่เดลี เพราะที่นี่ไม่มีInternet ไม่สามารถสื่อสารหรือติดต่อกันได้ เราตกลงกันว่า มาถึงนี่แล้วก็ต้องไปต่อ แล้วค่อยว่ากัน
.
ออกมาหน้าสนามบิน มีพ่อหนุ่ม Jigma ไกด์ของเรามายืนรออยู่แล้ว พร้อมคำพูดเหน็บแนมประมาณว่า รอนานมากเครื่องดีเลย์หรอ (ป่าวๆ พวกกูแค่มีปัญหานิดหน่อย)
.
หลังจากนั้น Jigma ก็พาเรามาที่โรงแรม ทานอาหารเช้าในเวลาเกือบ 11:00 เห็นจะได้ ที่แปลกใจคือที่นี่มีอาหารไทย์ด้วย แบบว่า ไข่เจียว ต้มยำกุ้ง ยำวุ้นเส้นไรอย่างนั้น ลองลองไข่เจียวมาดูใช้ได้เลยทีเดียว แม้อย่างอื่นจะไม่ค่อยภิรมย์นัก
.
แล้วพี่แกก็แนะใหญ่ว่า เดี๋ยวพวกยูต้องนอนพักนะเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ เพราะที่นี่มันสูง อาจมีผลต่อเรื่องระบบไหลเวียนเลือดและโรคเกี่ยวกับความกดอสกาศในที่สูง เจอกันบ่าย 3 เดี๋ยวไอมารับไป Sightseeing
.
ที่แรกคือ เลห์ พาเลส ถือเป็นโบราณสถานเลยก็ว่าได้ ค่าเข้าชมคนละ 25 รูปี ซึ่งตอนนี้กำลังบูรณะกันยกใหญ่เลย อาจเพราะคนไทยมาเที่ยวกันเยอะกระมัง ที่นี่วิวสวยมองจากที่สูงเพราะพาเลสนี้ตั้งอยู่บนแนวไหล่เขา มองลงไปเห็นภูมิทัศน์เมืองค่อนข้างชัดเลย ด้านในไม่มีอะไรเลยเพราะกำลังก่อสร้าง มีห้องพระเก่าแก่อยู่ ที่เหลือไม่มีอะไรเลยนอกจากเพดานตึกที่สามารถออกไปถ่ายรูปได้ ซึ่งมีประมาณ 9 ชั้น เราก็จัดแจงถ่่ายรูปยืนบ้าง นั่งบ้าง แต่พอไปนั่งตรงขอบแนวเท่านั้นแหละ เวียงเป่านกหวีดปิ้ดๆ ก็ดังขึ้นพร้อมคำเตือยฝนว่าห้ามนั่ง หลังจากนั้นเราก็จะได้ยินเสียงปิ้ดนี้เป็นประจำ เพราะมีแต่แก๊งนักท่องเที่ยวพี่ไทย 7-8 กลุ่มเอาเปนว่าคนมาเที่ยวเป็น ไทยโอนลี่เลยก็ว่าได้
.
ที่ต่อมาเป็น โบราณสถานไรสักอย่าง ความจริงก็อยู่ถัดจากพาเลสเมื่อครู่ เดินถึงกันแต่ต้องออกอารมณ์ปีนเขาหน่อยๆ ที่นร่ยิ่งวิวดีกว่าเพราะสูงกว่า และใียอดเขาสูงที่แขวนธงมนต์ปลิวพริ้วไปตามลม สะบัดไปมา เราใช้เวลาอยู่ตรงนี้นานพอดูเหมือนกัน จนพระอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้า เเสงกำลังจะหมดเลยต้องไปต่อที่ต่อไป
.
สถานที่ที่ 3 คือ Shaanti Satupaa หนือเจดีย์สันติภาพ ที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรเป็นวัดที่มีเจดีย์สูงเป็นสง่า พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นาน เพราะอยากไปจบท้ายที่ตลาดใจกลางเมือง
.
มาจบทริปวันแรกที่ตลาดในเมือง ที่ร้าน US Pizza สั่งกันแบบโมโหหิว ไม่วายในร้านก็เต็มไปด้วยเหล่าพี่น้องคนไทยด้วยกันทั้งนั้น ที่สำคัญที่ร้านมี WiFi ถือโอกาสส่งข่าวคราวถึงเพื่อนอีก 2 คนที่เดลี ซึ่งทิ้ง massage ไว้ว่า "คงไปไม่ได้แล้วเพราะถูกกักตัวอยู่ที่เดลี" เอาเป็นว่าทางเราก็ต้องพยายามเพิ่ง Jigma ให้ช่วยติดต่อทางสถานฑูตไทยที่กรุงเดลีต่อไป
.
ด้วยสภาพอากาศและความสูง ประกอบกับออกซิเจนน้อยเพื่อนบางคนถึงกับอาเจียน อาการแย่กันไปหลายคน จึงขอตัวกลับไปที่ห้องพักก่อน เพราะคนขับรถมาทิ้งเราไว้ตรงนี้เเละบอกกับเราว่า เดินไปโรงแรมแค่ 300 เมตร
.
กลุ่มเรานั่งต่อสักพักอาศัย WiFi ความเร็วระดับเต่างอยเพื่อพยามเชื่อมต่อกับโลกภายนอกแล้วก็เดินกลับห้อง ถึงดรามาที่ 3 เดินมาสักพักเริ่มไม่มั่นใจเพนาะไม่มีเนต เเผนที่ที่้ปิดเอสไว้ก็เกิดเจ๊งขี้นมา เลยเข้าไปถามร้านขายยา พวกเราดินมาสักพัก เริ่มแย่ ร้านลวงเริ่มปิด สองข้างเริ่มมืด แผนที่ไม่มี เนตไม่มี เนตไม่มี เอาละสิหลงละกู เสียชื่อเรียนภูมิศาสตร์ แวะโบกถามคนข้างทาง ซึ่งหน้าตาดูไม่น่าไว้วางใจ แต่พี่แกโคตรใจดีโทรหาโรงแรมให้ กลายเป็นว่าจุดที่เรายืนอยู่เป็นทางเชื่อมกับด้านหลังโรงแรม แต่แหม๋มืดขนาดนี้มึงมั่นใจทิ้งกูให้เดินกลับได้ไง
.
เลยกลายเป็นว่าต้องรบกวนพ่อบ้านมารับ จบวันแนกที่เลห์แบบเนือยๆ








.
Day 3 : อารยธรรมลุ่มแม่น้ำอินดัช
แอปเปิ้ล และไวไฟที่มีค่าดั่งทองคำ
.
เช้าวันที่2 ที่เมืองเลห์ ต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วย กาแฟดำ และไทยออมเลท ขาดๆม่ไก้สุดยอดอาหารสำหรับการมาต่างถิ่น มาม่า สามารถประทังชีวิตคุณได้
.
เปิดประเด็นวงเสวนาเช้านี้ ว่าด้วยสูตรการกินยา Diamox บางคนก็กิน 1 ส่วนสี่เม็ด บาวคนกินครึงเม็ดเช้า เย็น ไอ้เราบอก ผมกิน 1 เม็ดรวดเดียว ดีดทั้งวันไม่มีคลื้นใส้ ไม่มีเหนื่อยหอบ (เคลมทับคนอื่นไปอีก)
.
วันนี้ตรีมสีเขียวขี้ม้า แต่ขอโทดไม่มีใครตามตรีมสักคน แถกันไปหมดเอาเป็นว่าเรื่องตรีมแต่งตัวทริปนี้ฟรีสไตล์ใครใคร่แต่งๆ ตามใจเลยจร้าาา
.
วันนี้ตามแพลนต้องไป 3 เช็คพ้อยท์ แต่ก่อนทุกอย่างจะเริ่มต้น เพื่อคุณภาพชีวิตการกินอาหารที่ดีเอาเป็นว่าขอเเวะซื้อ แอ็ปเปิ้ล ข้างทางติดไว้ยามฉุกเฉินกันหน่อย จัดมา 3 กิโล โลละ 150 รูปี เเทะกินกันสบายใจ
.
ที่แรกเป็น Trey Palace ถือเป็นหนึ่งในโบราณสถานประจำชาติ แต่สภากฝพที่เห็น และสังเกตุตั้งแต่เมื่อวานคือที่ท่องเที่ยวทุกแห่งอยู่ในขั้นตอนที่เป็น Construction zone ทั้งหมด เดินขึ้นเนินมาสักหน่อยเราก็เหลือบไปเห็นแนวก้อนหินขนาดใหญ่เหมาะแก่การเป็นที่เชคอินถ่ายรูปยิ่งนัก เพราะฉากหลังเหมือนเป็นบึงน้ำจืด ออกแนว Wetlands สีเหบืองแกมแดงสะดุดตาตัดกับฉากหลังเป็นแนวเทือกเขาและท้องฟ้าสีสด งานนี้ต้องมีเสี่ยงตายกันบ้าง
.
ระหว่างทางพี่คนขับรถใจดีให้แวะพักข้างทางถ่ายรูปกับบรรยากาศทะเลทราย บนถนนสายชนบท ที่ฮิปเตอร์ และรีวิวเยอร์ส่วนใหญ่มาจอดรถและต้องปีนขึ้นไปถ่ายรูปที่ฉากหลังเป็นทะดลทรายและภูเขาที่เวิ้งว้างและห่างไกล จุดพีคคือ พออยากจะถ่าย Gruop shot ก็ต้องพึ่งลุง ชิลลิ้ง (ชื่อลุงคนขับรถ) ไดฝอ้เราก็จัดแจงวาง composition ให้ทุกคนเสร็จ ลุงแกก็ยิงชัตเตอร์รัวๆ แล้วก็รีบวิ่งขึ้นรถกัน พอมาเชคภาพ ไแ้ชิลลิ้งเล่นกูละไง ภาพที่ชักสุด สวยสุด กลายเปนว่า หัวขาดบ้าง มือขาดบ้าง เอิ่มมมมมม ชิลลิ้ง ลุงงงงงงงงง
.
ขับมาสักพักไต่ระดับขึ้นเขามาหน่อยวิวสองข้างทางเป็นภูเขาที่มีรอยคดโค้งของแผ่นเปลือกโลกชัดมาก อารมณ์ออกฟิวส์วิชา ภูมิสัณฐาน (Geomorphology) นี่คงฟินกันไป
.
ในที่สุดก็มาถึงเช็คพ้อยท์ที่ 2 คือ Hemis Gonpa (สะกดดีๆกรุณาใช้เสียงสั้น 555) เหมือนเป็นวัดที่อยู่บริเวณร่องเขาถัดขึ้นไปอีกนิดก็เป็นบริเวณที่มีน้ำแข็งปกคลุมแล้ว วัดนี้เณรน้อยเยอะมากๆ วิ่งไปมา พอเด นเข้ามายังเหมือนเป็นลานวัด ค่อนข้างเงัยบแบะห้ามใช้เสียง ตรงกลางมีเสาสามต้นน่าจะใช้ทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเขตพุทธาวาสและห้ามถ่ายภาพ เราจึงใช้เวลาเสพย์บรรยากาศที่นี่ไม่นานนักก่อนห
กลับไม่ลืมถ่ายรูป group shots ครั้งนี้ไม่พลาดใช้กล้องเลนส์วาย แม่มเลย คราวนี้ละเก็บหมดยันหลังคา
.
ขับรถลงเขามาถึงสะพานเข้ามแม่น้ำ ลุงชิลลิ้งคงจะสำนึกผิด คราวนี้เเนะนำจอกเเวะตรงสะพานที่มีธงมนต์อยู่เต็มถือเป็นอีกเช็คพ้อยท์ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยไม่พลาดกัน ก็ยังงงว่า มันสวยตรงไหน แถมไม่เป็นอันถ่ายรูปเป็นสุขหรอกเพราะต้องมีคนคอยดูต้นทางระวังรถได้ยินแต่เสียง "มีรถมา" ทุกคนก็ต้องรีบหนีออกข้่างทางกันไป
.
เวลาล่วงเลยมาบ่ายกว่า จึงแวะพักทานอาหาร บอกลุงชิลลิ้งว่าให้จอดหาร้านข้าวกินหน่อย เหมือนเข้่ล๊อกลุงแกเลย ลุงแกจัดเเจงเอสนถมาจอดอยู่ตรงร้านที่แกน่าจะดิลไว้แล้ว สภาพร้านไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก เราเสียงแข็งบอกจะไปกินร้านอื่น แต่เพื่อนผู้รักเด็กของเราดันเห็นญาติเจ้าของร้านเดินอุ้มลูกเขามาไปขออุ้มลูกเขา เลยกลายเป็นว่าต้องภาระจำยอมไม่ให้เสียมารยาท เพราะตอนที่บอกจะไปกินร้านอื่นอี่ตาชิลลิ้งก็ดูนอยด์ๆ อะเครกูทานร้านญาติมึงก็ได้ แต่กลายเป็นว่าอาหารก็พอทานได้แม้จะจืดสนิทไปหน่อย ไอ้เราขาท้าทายของท้องถิ่นอยู่แล้ว สั่งชุปมะเขือเทศมาลิ้มลอง เซอร์ไพร์สแม่มมมมม ชุปซอสมะเขือเทศ พี่ท่านเล่นน้ำน้ำละลายซอสมะเขือเทศมาง่ายๆเลยชะงั้น ไม่พ้นต้องเอาสะเบียงที่เตรียมมาจัดการเเปลงโฉมเป็นอาหารไทย อาทิ น้ำพริกนรก ไข่เค็ม ปลากะป๋องปุ้มปุ้ย แกงเขียวหวานกะป๋อง อิ่มท้องกันไป
.
จบที่เที่ยวสุดท้าย ออกแนววัดโปตาลาน้อย ชื่อว่า Thiksay Monastery วัดนี้น่าจะขึ้นชื่อที่มีพระองค์ใหญ่ที่ทรงเครื่องแต่งกายสไตล์ธิเบต แต่ทว่าไอ้เราอะไม่รู้หรอก เดินขึ้นผิดฝั่งวนอยู่นานจนไปถึงเขต private ของพระเอาเป็นว่ากลับตัวแทบไม่ทัน ส่วนพระองค์ใหญ่สวยงามสง่ามาก มีกลิ่นกำยานลอยมาเป็นระยะ ตามสไตล์พี่ไทยไม่พลาดที่จะเหน็บแบงค์ตามที่ต่างๆ เพื่อเป็นบุญเป็นกุศล (รึป่าว)
.
และขอปิดฉากของวันด้วยการไปนั่งร้านกาแฟที่คุณเพื่อนอ่่่านมาจากรีวิวว่าเป็นร้านที่ "ไวไฟแรงที่สุดในเลห์" เพื่อติดต่อโลกภายนอกสักหน่อย เข้าไปเต็มร้านจัดแจงสั่งกาแฟมาเต็มโต๊ะ ทีนี้ละบันเทิงเพราะเน็ตแล้ว คุยกันออกรสออกชาติกันทีเดียว กะจะโพสรูปสวยๆ สักหน่อย คุณพระเน็ตล่มใช้งานไม่ได้ เพื่อนก็หัวร้อนคิดว่าเจ้เจ้าของร้านคงไม่พอใจรึป่าว ปิดเน็ตรึป่าว โมโหยกกรุ๊ปเช็คบิล ก่อนออกจากร้านร้องเพลงให้เจ้เจ้าของร้าน "รำคานก่บอกกันเด้อ จะบ่สิเออะเข้าร้านเจ้าอีก"
.
โมโหตึงตัง ออกมาหาร้านกินข้าวที่ต้องมีไวไฟ จนเดินมาเจอร้านบนรูฟทอปในย่านตลาด ชื่อ Rabsel cafe เข้ามาเหยยยย ร้านดีแฮะ เเต่งร้่านสวยมากอาร์ตมาก สั่งอาหารมาเต็ม พร้อมถามหาไวไฟ คำตอบที่บาดใจชวนดราม่าคือ วันนี้ใช้เน็ตไม่ได้ ให้มันได้แบบนี้สินะ สักพักพรืบบบ ไฟดับจร้าาา โอเค มึงงงง.... บิลลพลีสสสสส
.
เอาเป็นว่าล้มเลิกความพยายาม เดินกลับโรงเเรมผ่านร้านขายผลไม้และผัก ไม่พลาดคราวนี้จัดหนักเลย ทับทิมลูกเบ้อเริ่มเทิ่ม แอปเปิล สาลี่ ส้ม และ "กะหล่ำปลี" เดี๋ยวเพื่อน เราไม่มีครัวจะเอากะหล่ำปลีไปทำเพื่อ เอ้าเอาก็เอาตามใจ คุณมรึงงงงงงง










.
Day 4: ภูเขาแม่เหล็ก สบน้ำสองสี มูนแลนด์
และสะพานเจ้าปัญหา
.
"ความโหยหาดราม่าสู่ดราม่าจริง และความโหดร้อยของโลกที่ปราศจาค wifi"
.
หลังจากการแจ้งข่าวของ Jigmat ไกด์ของเราที่ยังไม่เจอหน้าเลยจนกรพทั่งเย็นเมื่อวาน ที่มาหาเพื่อเเจ้งเปลี่ยนแปลงแพลนการเที่ยวอีก 3 วันข้างหน้า เปลี่ยนแผนไม่ไปนอนที่ "pangoong lake” ด้วยสภาพอากาสที่เลวร้าย และที่นีฝั่นไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีฮีตเตอร์ พี่แกคงกลัวพาพวกเราไปตายอยู่ที่นั่น หลังการหารือเสร็จสิ้น เพื่อน HR คนเก่งของเราก็เอ่ยปากถาม Jigmat ว่าไม่เห็นหน้าเลยนะไปขับรถให้กรุ๊ปอื่นรึป่าว พี่แกก็ยิ้มแหยงๆ แล้วพูดแก้เขินว่า อ๋อ พอดีปวดท้องถ้าหายก็คงไปด้วยเเหละ เห่อๆๆๆๆๆ
.
เข้านี้โรงแรมทำข้าวต้มแบบบุฟเฟ่ต์เพราะพี่น้องชาวไทยของเราเต็มโรงแรมไปหมด หลังจากทานอาหารเช้ากันเสร็จลงมารอลุงชิลลิ้ง ก้พาลเหลือบเห็นพี่ Jigmat ของเรารออยุ่ด้วยกลายเป็นว่าผลการไซโคของเจ้ HR ได้ผลแฮะ
.
ที่เเรกที่เรามาถึงคือ Magnetic Hill หรือ ภูเขาแม่เหล็ก เป็นแนวเขาที่มาวางตัวขวางกับถนนพอดีทำให้ดูเหมือนถนนหายเข้าไปใต้ภูเขา การถ่ายรูปที่นี่ต้องระวังอย่างเดียวคือ รถ ที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงพร้อมแตร ดีที่เรามากรุ๊ปแรกวิวสวยมากไม่มี noise ใดๆ สักพัก แก๊งพี่ไทยเราเริ่มตามมาถึงจอดรถเเซงหน้าเราเรียงเป็นตับหมดกัน วิวตรูรรรรร
.
ตลอดสองข้างทางเลียบแม่น้ำ indus บรรยากาศและทิวทัศน์สองข้างทางสวยมาก ภูเขาที่เป็นสีเข้มสลับอ่อน มีเเนววางตัวเฉียงนะดับ เเม่น้ำสีมรกต ท้องฟ้าแบบฟ้าจริมๆ และเหล่าต้นไม้สีโทนร้อน มันได้มากๆ
.
ด้วยระยะทางกว่า 120 กิโล กว่าจะไปถึงที่หมายความหิวก็มาเยือน ไม่วายต้องหยิบจับเสบียงมาบรรเทาความหิวกันไป ที่ซื้อมาตุนไว้เมื่อวานจากตลาดคือ แอปเปิล สาลี่ และทับทิม [บ่าเก่าะ] ที่ลูกโตเท่ามะพร้าวเนื้อข้างในแดงฉ่ำมากๆ ถือเป็นของกินเล่นชั้นดีเลยทีเดียวเชียว
.
ที่ต่อมาคือ Moon Land หรือจุดชมวิวที่มีลักษณะภูมิประเทศคล้ายกับดวงจันทร์ ภูเขาทั้งลูกเป็นตะปุ่มตะป่ำ สีเหลืองนวล เราไม่พลาดที่จะแชะรูปหมู่กัน วันนี้ไม่ Jigmat คอยเป็นตากล้องจำเป็นให้ งานนี้ไม่มีหัวขาดแขนขาด
.
และแล้วเราก็มาถึง Lamayuru Gonpa ซึ่งก็เป็นวัดแบบที่เราไปมาเมื่อวาน นี่ถ้าระหว่างทางไม่มีธรรมชาติที่ตื่นตาตื่นใจคงเฟลแย่ วัดนี้สงบเงียบและกำลังก่อสร้างต่อเติมอีกตามเคย และที่สำคัญเริ่มหิวกันมากๆแล้ว ปรึกษาอี่ตา Jigmat บอกว่าที่นี่ไม่ค่อยอร่อย มีร้านอร่อยกว่าขับจากนี้ไปประมาณ 20 นาที เอิ่ม อยู่ในสายธารทัวร์นี้สิน่ะ
.
พอมาถึงร้านหิวจัดเช่นเคย ขอสั่งอาหารที่ปรุงแต่งน้อยที่สุด เป็นต้นว่าผัดก้วยเต๊ยว ข้าวผัด ข้าวเปล่า เพื่อเอามากินกับอาหารกระป๋องที่เตรียมมาอย่างเต็มโต้ะ สั่งไก่ทอด มันบอกไม่มี แต่ทำไมคนอื่นสั่งมาทานกันได้เนอะ อันนี้คงผิดที่คนสั่งแล้วล่ะ ส่วนเรื่องเครื่องดื่มเราขอแนะนำ เป็นพวกน้ำร้อน หรือไม่ก็ชา หรือ กาแฟดำจะดชฟชัวิต อย่าสั่งอะไรที่ต้องใส่นม เพราะมันมีกลิ่นแปลกๆ เชคบิลมาอู้หู้ๆๆ แพงเอาเรื่องนะ
.
เดินทางต่อเเบบเคลิ้มๆ กับวิวข้างทาง จนมาเจอดราม่าจริงเข้าให้ จู่ๆ ทหารก็โบกให้จอดรถ เหลือบมองไปข้างหน้า รถติดเป็นแถวยาวเลย พี่ Jigmat และลุงชิลลิ่งไม่รอช้าลงไปสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้นทราบข่าวว่ามีปัญหานิดหน่อยเกี่ยวกับการซ่อมสะพาน ตายห่าละจะมาจบทริปของวันที่นี่ป่าววะ
.
หลังจากนั่งรอ นอนรอ ลงมาถ่ายรูปเล่นได้สักครึ่ง ชม รถก็เริ่มขยับบ้างจนเรามาถึงจุดเกิดเหตุ เพราะไอ้หน่วยซ่อมสะพานเอาดินมากองทับถนนไปเลนส์นึงทำให้รถที่สวนกันไปมาไม่ได้ต้องรอทีละฝั่ง ละปัญหาคือไม่มีตำรวจ ไม่มีทหารคอยดูทัเงาองฝั่งที่จะผล่อยรถอย่างเป็นระเบียบ ความเครียดเริ่มมา เมื่อมีคนฝ่าฝืน พี่ไกด์ของเราและบรรดาสหภาพไกด์ก้ลงไปเจรจาจัดการจราจร จนมีไอ้หนุ่มใจใหญ่ขับรถหกล้อฝ่าขบวนมา ความโมโหบังเกิดเพราะยิ่งทำให้ขยับไม่ได้ มาก็ไม่ได้ ไปก็ไม่ได้ ถึงขั้นจะลงไม่ลงมือกัน สักพักทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เราข้ามสะพานเจ้าปัญหามาได้
.
มารอรับพี่ไกด์ ตรงอีกฝั่ง แต่พี่แกไม่ได้อยู่คนเดียว มาพร้อมพี่คนไทยอีก 4 คน ซึ่งรถแก๊งพี่แกเสียตั้งแต่บ่ายโมง และเป็นอีก 1 สาเหตุที่ทำให้รถติดยาวเหยียด อาศัยติดรถเรากลับไปที่พัก (ว่าเราหนักล่ะ ของแก๊งพี่แกหนักกว่าเยอะ)
.
ปิดท้ายทริปของวันด้วยการเเวะไหว้พระที่ Likkir Gonpa แบบอิดโรยกันแล้ววว นี่ก็แปลกใจว่าทำไมทริปนี้มันวัดเยอะจังว่ะ อย่างกับเป็นทริปแสวงบุญ
.
ก่อนกลับโรงเเรมไม่พลาดภารกิจตามหา wifi ที่ร้านอาหารในเมืองวันนี้มาลองร้านใหม่เป็น Rooftop ที่สำคัญมี wifi แต้สำคัญกว่านั้นคือมันใช้ไม่ได้ หัวเราะหน้าแห้งกันไป แต่แนะนำร้านนี้เสต็กไก้อร่อยเสริฟพร้อมข้าวอินเดีย เเละผัดผักใสเกบือและเนย ซึ่งเราลงความเห็นว่าไอ้ผัดผักแบบปรุงให้น้อยนี่แหละสุดยอดดดด
นอนนแล้ววันนี้ สวัสดี
แล ขอจบภาค 1 ไว้เพียงเท่านี้ ครับ
















อกันตะลอน 29:11
Commentaires