top of page
ค้นหา

เลห์ เสน่ห์คนลวง ภาค 1

  • รูปภาพนักเขียน: AguntaloN
    AguntaloN
  • 15 มี.ค. 2562
  • ยาว 3 นาที

#ทริปเลห์เสน่ห์คนลวง

N 34 ํ9'9'' E 77 ํ 34'35''


บอกเลย แค่เริ่ม อกันตะลอน ก็เหนื่อยแล้วว

“อาจเงียบหายไป อย่าตกใจ พี่ไปตามหา แรงบันดาลใจ”

ทริปนี้ยาวนานพอดู 19 - 30 ตุลาคม 2561 ไปเริ่มกันเลยครับ



.

Day​ 1 : ทริปเลห์เสน่ห์คนลวง

.

ทริปฉุกเฉินที่เพื่อนชวน​ มือไวใจเร็ว​กดจองตัวเครื่องบิน​ 1 เดือนก่อนเดินทาง​ ทำ​ Passport ใหม่​ 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง​ (ทำที่เชียงใหม่เสียด้วย)​ ทำวีซ่า​ 1 อาทิตย์ก่อนเดินทาง​ เอาเป็นว่าตามๆ​ เพื่อนไป​แพลนผมจบตัเงแต่ถึงสนามบิน​ เพราะไม่ว่าว่าไปเที่ยวไหนบ้าง​ นอนที่ไหนบ้าง​ รู้แค่ว่าไปกี่วัน​ จ่ายเท่าไหร่แค่นั้น​ ไม่รู้แม้กระทั่งเพื่อนร่วมทริป​ว่าเป็นใครทราบแค่ว่าเป็นเพื่อนของเพื่อ​น​ รวม​ 9​ คน​(เราไปเป็นคนที่​ 9​ ซึ่งเป็นคี่​ งือๆๆ)

.

พอถึงสนามบินแวะชดเบียรก่อนเช็คอิน​ 1 แก้ว​ แล้วขึ้นไปเช็คอิน​ ดราม่าแรกคือ​ พนักงานสายการบินบอก​ พี่ปริ้น​ e-visa มาผิดค่ะ​ ต้องเอาตัวที่มันมีบาร์โค๊ดด้วย​ ซวยแตาเริ่มเลยตรู​ พนักงานก็แนะนำให้ไปปริ้นที่​ สนง​ ตำรวจท่องเที่ยวตรงชั้น2 พอไปถึงเจอพ่อหนุ่มตาน้ำข้าวที่มีเมียเป็นสาวชาวลาวที่น่าจะมีปัญหาเรื่องไรสักอย่างและไม่มีเงินติดตัว

.

เราไปปริ้น​ e-visa.ใหม่ก็ออกมาเป็นแบบเดิมไม่มีบาร์โค๊ดนั่งงมอยู่นาน​ จนไปถึงเมนูเช็คสถานะ​ e-visa​ บ้าบออยุ่นี่เอง​ เสียค่าปริ้นไปแผ่นละ​ 20​ บาท​ จัดไปครัชชช

.

เข้าไปใน​ Gate ก็กังวลเรื่องซิมการ์ดที่เปิดใช้งานเพราะยังไม่ได้ลงทะเบียนนั่งแงะโทรศัพท์อยู่นาน​ ทำตามคำแนะนำกด​ *120 โทรออกมันบอกให้เติมเงิน​ จึงโทรเข้า​ call center พนักงานบอกว่าพี่ต้องกดโทรออกไปเยอร์ไหนสักเบอร์เพื่อให้ระบบตรวจเจอว่าพี่​ Active.แล้ว​ อะเครโล่งไป​ จัดการเรื่องซิมเรียบร้อยก่อนขึ้นเครื่อง

.

ใช้เวลาเดินทางประมาณ​ 5 ชม​ ถึงสนามบินเดลี​ อินทิราคานที​ ตอนประมาณ​ 5​ ทุ่ม​ ฉายเดียวเพราะเราจองคนละสายการบิน​ คนละไฟลท์กับเพื่อน​ คงเจอกันอีกทีที่สนามบินเลห์





.

Day 2 : มนต์เสน่ห์แห่งเลห์

.

มนต์เสน่ห์แห่งเลห์ที่ลวง​คนไทยผ่านการรีวิว​ ทำให้บรรดา​ Sight Seeing ของเมืองมีแต่แก๊งนักท้องเที่ยวชาวไทย



.

หลังจากนอนพักเอาแรงที่สนามบินเดบี​อินทิราคานธี​ ถึง​ตี​ 5.45 ก็ถึงเวลาเที่ยวบินจากเดลีมายังเป้าหมายของพวกเรา​ "เลห์-ลาดักห์" เมืองในม่านเขาและธารน้ำแข็งที่อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า​ 3500 เมตร​ เมืองลาดักห์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นลาดักห์​ ในเขตแคชเมียร์​ หมุดหมายการท่องเที่ยวของเหล่านักท่องเที่ยวชาวไทย

.

ก่อนขึ้นเครื่อง​ก็ตะงิดๆแล้ว​ ทำไมมีแต่แก๊งคนไทยเต็มไปหมด​ นับได้เกือบ​ 4-5 แก๊งเฉพาะเที่ยวบินเดียวกัน​ 1 ใน​ 3 ของเที่ยวบินนี้​ น่าจะเป็นกลุ่มคนไทยที่ใช้เวลาช่วงวันหยุดมาตามแรงบันดาลใจที่​ เลห์

.

ตัวเรานั้นเฟลนิดหน่อย​เพราะได้ที่นั่งทางเดิน​ ไม่ได้​ window seat ทางด้านซ้ายตามที่อ่านรีวิวไว้​ เพราะเส้นทางระหว่างเดลี​ ไปเลห์​ คุณจะได้พบกับเเสงแรก​ที่ตกกระทบกับแนวสันเขาที่ถูกประดิษฐ์อย่างปรานีต ด้วยน้ำมือของธรรมชาติ​ หรือถ้าเแาให้เนิ้ดๆ​ หน่อย​ ก็คือลักษณะภูมิประเทศที่เกิดขึ้นจากการกระทำของธารน้ำแข็ง​ (gracier)​ ทั้งแนวสันเขาที่ถูกกัดเซาะ​ เว้าแหว่งเป็นสันสวยงาม​ หรือที่เรียกว่า​ arated​ แนวธารน้ำแข็งและหิมะปกคลุมยอดเขาที่ปราศจากต้นไม้​ ดูสะดุดตาและสวยงามยิ่ง​ แม้จะมองจากตำแหน่งที่นั่ง​ริมทางเดิน

.

เช้านี้ที่สนามบินเลห์​ แคว้นลาดัก​ ดูเงียบสงบ​ เครื่องแลนดิ้งถึงพื้นสนามบิน​ เผยให้เห็นบรรยากาศโดยรอบที่โอบล้อมด้วยภูเขา​ แต่พื้นที่ดูแห้งแล้ง​ โล่ง​ มองทอดยาวมีแต่สีเทา​ และสีเหลืองเขียวของเหล่าต้นไม้ที่กำลังแข่งกันเปลี่ยนสีรอการผลัดใบ​ บริเวณโดยรอบสนามบิน​ออกคล้ายอารมณ์ค่ายกักกัน​ มีชุดกองกำลังทหารวางตัวอยู่เป็นจุดๆ

.

พอก้าวลงจากเครื่องเท่านั้น​ ความหนาวเย็นเข้ามาปะทะใบหน้า​ อุณหภูมิ​น่าจะประมาณ​ 5 องศาเห็นจะได้ ทำให้อดไม่ได้ที่จะยกกล้องมือถือมาถ่ายรูป​ และก็นั่นแหละครับ​ เลยโดนเตือนจากเจ้าหน้าที่ไปหนึ่งที​ เพราะสนามบินที่นี่ห้ามถ่ายรูปครับ​ คบ้ายๆ​ จะเป็นสนามบินทางการทหารเสียด้วยซ้ำ

.

สักพักมีรถ คล้ายรถเมล์เล็กมาจอดรับเรามายังตัว​ terminal ซึ่งมีขนาดเล็กมากพอๆกับท่ารถขนส่งในบ้านเราเสียอย่างนั้น​ ด้วยที่ทริปนี้ผมมาแบบเป็นส่วนเกินจองแบบติดสอยห้อยตามมาเลยเป็นว่าต้องแยกเดินทางกับเพื่อนร่วมทริปอีก​ 8​ คน​ ที่กำลังจะตามมาอีก​ 1​ ชม​ หลังจากนี้

.

บรรยากาศที่สนามบินไม่ได่วุ่นวายอะไร​ เอาเป็นว่าไม่มีอะไรเลย​ จำพวกร้านอาหาร​ ร้านกาแฟอย่าถาม​ มีตู้แลกเงินอยู่​ 1​ จุด​ แต่นั้น

.

หลังนั่ง​ ยืน​ เดินรอเพื่อนร่วมทริปมาเกือบ​ 1​ ชม​ ต่อมาเพื่อนๆ​ ก็มาถึงพร้อมกับความดราม่าลำดับที่​ 2 ของทริป​ คือ​เพื่อนอีก​ 2​ คนไม่สามารถผ่าน​ ตม​ ทีาเดลีมาได้​ จึงเป็น​ว่ามากันอีกแค่​ 6 คน​ อีก​ 2​ คนยังไม่รู้​ชะตากรรม​อยู่​ที่เดลี​ เพราะที่นี่ไม่มี​Internet​ ไม่สามารถสื่อสารหรือติดต่อกันได้ เราตกลงกันว่า มาถึงนี่แล้วก็ต้องไปต่อ​ แล้วค่อยว่ากัน

.

ออกมาหน้าสนามบิน​ มีพ่อหนุ่ม​ Jigma​ ไกด์ของเรามายืนรออยู่แล้ว​ พร้อมคำพูดเหน็บแนม​ประมาณว่า​ รอนานมากเครื่องดีเลย์​หรอ​ (ป่าวๆ​ พวกกูแค่มีปัญหานิดหน่อย)

.

หลังจากนั้น​ Jigma​ ก็พาเรามาที่โรงแรม​ ทานอาหารเช้าในเวลาเกือบ​ 11:00 เห็น​จะได้​ ที่แปลกใจคือที่นี่มีอาหารไทย์ด้วย​ แบบว่า​ ไข่เจียว​ ต้มยำกุ้ง​ ยำวุ้นเส้นไรอย่างนั้น​ ลองลองไข่เจียวมาดูใช้ได้เลยทีเดียว​ แม้อย่างอื่นจะไม่ค่อยภิรมย์นัก

.

แล้วพี่แกก็แนะใหญ่ว่า​ เดี๋ยวพวกยูต้องนอนพักนะเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ​ เพราะที่นี่มันสูง​ อาจมีผลต่อเรื่องระบบไหลเวียนเลือด​และโรคเกี่ยวกับความกดอสกาศในที่สูง​ เจอกันบ่าย​ 3​ เดี๋ยวไอมารับไป​ Sightseeing

.

ที่แรกคือ​ เลห์​ พาเลส​ ถือเป็นโบราณสถานเลยก็ว่าได้​ ค่าเข้าชมคนละ​ 25 รูปี​ ซึ่งตอนนี้กำลังบูรณะกันยกใหญ่เลย​ อาจเพราะคนไทยมาเที่ยวกันเยอะกระมัง​ ที่นี่วิวสวย​มองจากที่สูงเพราะพาเลสนี้ตั้งอยู่บนแนวไหล่เขา​ มองลงไปเห็น​ภูมิทัศน์​เมืองค่อนข้างชัดเลย​ ด้านในไม่มีอะไรเลยเพราะกำลังก่อสร้าง​ มีห้องพระเก่าแก่อยู่​ ที่เหลือไม่มีอะไรเลยนอกจากเพดานตึกที่สามารถออกไปถ่ายรูปได้​ ซึ่งมีประมาณ​ 9​ ชั้น​ เราก็จัดแจงถ่่ายรูปยืนบ้าง​ นั่งบ้าง​ แต่พอไปนั่งตรงขอบแนวเท่านั้นแหละ​ เวียงเป่านกหวีด​ปิ้ดๆ​ ก็ดังขึ้นพร้อมคำเตือยฝนว่าห้ามนั่ง​ หลังจากนั้นเราก็จะได้ยินเสียงปิ้ดนี้เป็นประจำ​ เพราะมีแต่แก๊งนักท่องเที่ยวพี่ไทย​ 7-8 กลุ่ม​เอาเปนว่าคนมาเที่ยวเป็น​ ไทยโอนลี่เลยก็ว่าได้

.

ที่ต่อมาเป็น​ โบราณสถานไรสักอย่าง​ ความจริงก็อยู่ถัดจากพาเลสเมื่อครู่​ เดินถึงกันแต่ต้องออกอารมณ์ปีนเขาหน่อยๆ​ ที่นร่ยิ่งวิวดีกว่าเพราะสูงกว่า และใียอดเขาสูงที่แขวนธงมนต์ปลิวพริ้วไปตามลม​ สะบัด​ไปมา​ เราใช้เวลาอยู่ตรงนี้นานพอดูเหมือนกัน​ จนพระอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้า​ เเสงกำลังจะหมดเลยต้องไปต่อที่ต่อไป

.

สถานที่ที่​ 3 คือ​ Shaanti Satupaa​ หนือเจดีย​์สันติภาพ​ ที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรเป็นวัดที่มีเจดีย์​สูงเป็นสง่า​ พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นาน​ เพราะอยากไปจบท้ายที่ตลาดใจกลางเมือง

.

มาจบทริปวันแรกที่ตลาดในเมือง​ ที่ร้าน​ US Pizza สั่งกันแบบโมโหหิว​ ไม่วายในร้านก็เต็มไปด้วยเหล่าพี่น้องคนไทยด้วยกันทั้งนั้น​ ที่สำคัญที่ร้านมี​ WiFi​ ถือโอกาสส่งข่าวคราวถึงเพื่อนอีก​ 2​ คนที่เดลี​ ซึ่งทิ้ง​ massage ไว้ว่า​ "คงไปไม่ได้แล้วเพราะถูกกักตัวอยู่ที่เดลี" เอาเป็นว่าทางเราก็ต้องพยายามเพิ่ง​ Jigma​ ให้ช่วยติดต่อทางสถานฑูตไทยที่กรุงเดลีต่อไป

.

ด้วยสภาพอากาศและความสูง​ ประกอบกับออกซิเจนน้อยเพื่อนบางคนถึงกับอาเจียน​ อาการแย่กันไปหลายคน​ จึงขอตัวกลับไปที่ห้องพักก่อน​ เพราะคนขับรถมาทิ้งเราไว้ตรงนี้เเละบอกกับเราว่า​ เดินไปโรงแรมแค่​ 300 เมตร

.

กลุ่มเรานั่งต่อสักพักอาศัย​ WiFi​ ความเร็วระดับเต่างอยเพื่อพยามเชื่อมต่อกับโลกภายนอกแล้วก็เดินกลับห้อง​ ถึงดรามาที่​ 3 เดินมาสักพักเริ่มไม่มั่นใจเพนาะไม่มีเนต​ เเผนที่ที่้ปิดเอสไว้ก็เกิดเจ๊งขี้นมา​ เลยเข้าไปถามร้านขายยา พวกเราดินมาสักพัก เริ่มแย่ ร้านลวงเริ่มปิด สองข้างเริ่มมืด แผนที่ไม่มี เนตไม่มี เนตไม่มี เอาละสิหลงละกู เสียชื่อเรียนภูมิศาสตร์ แวะโบกถามคนข้างทาง ซึ่งหน้าตาดูไม่น่าไว้วางใจ แต่พี่แกโคตรใจดีโทรหาโรงแรมให้ กลายเป็นว่าจุดที่เรายืนอยู่เป็นทางเชื่อมกับด้านหลังโรงแรม แต่แหม๋มืดขนาดนี้มึงมั่นใจทิ้งกูให้เดินกลับได้ไง

.

เลยกลายเป็นว่าต้องรบกวนพ่อบ้านมารับ จบวันแนกที่เลห์แบบเนือยๆ
















.



Day 3 : อารยธรรม​ลุ่มแม่น้ำอินดัช

แอปเปิ้ล​ และไวไฟที่มีค่าดั่งทองคำ​

.

เช้าวันที่​2 ที่เมืองเลห์​ ต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วย​ กาแฟดำ​ และไทยออมเลท ขาดๆม่ไก้สุดยอดอาหารสำหรับการมาต่างถิ่น​ มาม่า​ สามารถประทังชีวิตคุณได้

.

เปิดประเด็นวงเสวนาเช้านี้​ ว่าด้วยสูตรการกินยา​ Diamox บางคนก็กิน​ 1 ส่วนสี่เม็ด​ บาวคนกิน​ครึงเม็ดเช้า​ เย็น​ ไอ้เราบอก​ ผมกิน​ 1​ เม็ดรวดเดียว​ ดีดทั้งวันไม่มีคลื้นใส้ ไม่มีเหนื่อยหอบ​ (เคลมทับคนอื่นไปอีก)

.

วันนี้ตรีมสีเขียวขี้ม้า​ แต่ขอโทดไม่มีใครตามตรีมสักคน​ แถกันไปหมด​เอาเป็นว่าเรื่องตรีมแต่งตัวทริปนี้ฟรีสไตล์ใครใคร่แต่งๆ​ ตามใจเลยจร้าาา

.

วันนี้ตามแพลนต้องไป​ 3 เช็คพ้อยท์​ แต่ก่อนทุกอย่างจะเริ่มต้น​ เพื่อคุณภาพชีวิตการกินอาหารที่ดี​เอาเป็นว่าขอเเวะซื้อ​ แอ็ปเปิ้ล​ ข้างทางติดไว้ยามฉุกเฉินกันหน่อย​ จัดมา​ 3​ กิโล​ โลละ 150 รูปี​ เเทะกินกันสบายใจ

.

ที่แรกเป็น​ Trey Palace ถือเป็นหนึ่งในโบราณสถานประจำชาติ​ แต่สภากฝพที่เห็น​ และสังเกตุตั้งแต่เมื่อวานคือที่ท่องเที่ยวทุกแห่งอยู่ในขั้นตอนที่เป็น​ Construction zone ทั้งหมด​ เดินขึ้นเนินมาสักหน่อยเราก็เหลือบไปเห็นแนวก้อนหินขนาดใหญ่เหมาะแก่การเป็นที่เชคอินถ่ายรูปยิ่งนัก​ เพราะฉากหลังเหมือนเป็นบึงน้ำจืด​ ออกแนว​ Wetlands สีเหบืองแกมแดงสะดุดตา​ตัดกับฉากหลังเป็นแนวเทือกเขาและท้องฟ้าสีสด​ งานนี้ต้องมีเสี่ยงตายกันบ้าง

.

ระหว่างทางพี่คนขับรถใจดีให้แวะพักข้างทางถ่ายรูปกับบรรยากาศ​ทะเลทราย​ บนถนนสายชนบท​ ที่ฮิปเตอร์​ และรีวิวเยอร์ส่วนใหญ่มาจอดรถและต้องปีนขึ้นไปถ่ายรูปที่ฉากหลังเป็นทะดลทรายและภูเขาที่เวิ้งว้างและห่างไกล​ จุดพีคคือ​ พออยากจะถ่าย​ Gruop shot ก็ต้องพึ่งลุง ชิลลิ้ง (ชื่อลุงคนขับรถ) ไดฝอ้เราก็จัดแจงวาง​ composition ให้ทุกคนเสร็จ​ ลุงแกก็ยิงชัตเตอร์รัวๆ​ แล้วก็รีบวิ่งขึ้นรถกัน​ พอมาเชคภาพ​ ไแ้ชิลลิ้งเล่นกูละไง​ ภาพที่ชักสุด​ สวยสุด​ กลายเปนว่า​ หัวขาดบ้าง​ มือขาดบ้าง​ เอิ่มมมมมม​ ชิลลิ้ง​ ลุงงงงงงงงง

.

ขับมาสักพักไต่ระดับขึ้นเขามาหน่อยวิวสองข้างทางเป็นภูเขาที่มีรอยคดโค้ง​ของแผ่นเปลือกโลกชัดมาก​ อารมณ์​ออกฟิวส์​วิชา ภูมิสัณฐาน​ (Geomorphology)​ นี่คงฟินกันไป

.

ในที่สุดก็มาถึงเช็ค​พ้อยท์​ที่​ 2​ คือ​ Hemis Gonpa (สะกดดีๆ​กรุณาใช้เสียงสั้น​ 555) เหมือนเป็นวัดที่อยู่บริเวณร่องเขาถัดขึ้นไปอีกนิดก็เป็นบริเวณที่มีน้ำแข็งปกคลุมแล้ว​ วัดนี้เณรน้อยเยอะมากๆ​ วิ่งไปมา​ พอเด นเข้ามายังเหมือนเป็นลานวัด​ ค่อนข้างเงัยบแบะห้ามใช้เสียง​ ตรงกลางมีเสาสามต้นน่าจะใช้ทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง​ ส่วนใหญ่เป็นเขตพุทธาวาสและห้ามถ่ายภาพ​ เราจึงใช้เวลาเสพย์​บรรยากาศที่นี่ไม่นานนักก่อนห

กลับไม่ลืมถ่ายรูป​ group shots ครั้งนี้ไม่พลาดใช้กล้องเลนส์​วาย​ แม่มเลย​ คราวนี้ละเก็บหมดยันหลังคา

.

ขับรถลงเขามาถึงสะพานเข้ามแม่น้ำ​ ลุงชิลลิ้งคงจะสำนึกผิด​ คราวนี้เเนะนำจอกเเวะตรงสะพานที่มีธงมนต์อยู่เต็ม​ถือเป็นอีกเช็คพ้อยท์​ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยไม่พลาดกัน​ ก็ยังงงว่า​ มันสวยตรงไหน​ แถมไม่เป็นอันถ่ายรูปเป็นสุขหรอกเพราะต้องมีคนคอยดูต้นทางระวังรถ​ได้ยินแต่เสียง​ "มีรถมา" ทุกคนก็ต้องรีบหนีออกข้่างทางกันไป

.

เวลาล่วงเลยมาบ่ายกว่า​ จึงแวะพักทานอาหาร​ บอกลุงชิลลิ้งว่าให้จอดหาร้านข้าวกินหน่อย​ เหมือนเข้่ล๊อกลุงแกเลย​ ลุงแกจัดเเจงเอสนถมาจอดอยู่ตรงร้านที่แกน่าจะดิลไว้แล้ว​ สภาพร้านไม่น่าอภิรมย์​เท่าไหร่นัก​ เราเสียงแข็ง​บอกจะไปกินร้านอื่น​ แต่เพื่อนผู้รักเด็กของเราดันเห็นญาติเจ้าของร้านเดินอุ้มลูกเขามาไปขออุ้มลูกเขา​ เลยกลายเป็นว่าต้องภาระจำยอมไม่ให้เสียมารยาท​ เพราะตอนที่บอกจะไปกินร้านอื่นอี่ตาชิลลิ้งก็ดูนอยด์ๆ​ อะเครกูทานร้านญาติมึงก็ได้​ แต่กลายเป็นว่าอาหารก็พอทานได้แม้จะจืดสนิทไปหน่อย​ ไอ้เราขาท้าทายของท้องถิ่นอยู่แล้ว​ สั่งชุปมะเขือเทศมาลิ้มลอง​ เซอร์ไพร์ส​แม่มมมมม​ ชุปซอสมะเขือเทศ​ พี่ท่านเล่นน้ำน้ำละลายซอสมะเขือเทศมาง่ายๆเลยชะงั้น​ ไม่พ้นต้องเอาสะเบียงที่เตรียมมาจัดการเเปลงโฉมเป็นอาหารไทย​ อาทิ​ น้ำพริกนรก​ ไข่เค็ม​ ปลากะป๋องปุ้มปุ้ย​ แกงเขียวหวานกะป๋อง​ อิ่มท้องกันไป

.

จบที่เที่ยวสุดท้าย​ ออกแนววัดโปตาลาน้อย​ ชื่อว่า​ Thiksay Monastery วัดนี้น่าจะขึ้นชื่อที่มีพระองค์​ใหญ่ที่ทรงเครื่องแต่งกายสไตล์ธิเบต​ แต่ทว่าไอ้เราอะไม่รู้หรอก​ เดินขึ้นผิดฝั่งวนอยู่นานจนไปถึงเขต​ private ของพระ​เอาเป็นว่ากลับตัวแทบไม่ทัน​ ส่วนพระองค์ใหญ่สวยงามสง่ามาก​ มีกลิ่นกำยานลอยมาเป็นระยะ​ ตามสไตล์พี่ไทยไม่พลาดที่จะเหน็บแบงค์ตามที่ต่างๆ​ เพื่อเป็นบุญเป็นกุศล​ (รึป่าว)​

.

และขอปิดฉากของวันด้วยการไปนั่งร้านกาแฟที่คุณเพื่อนอ่่่านมาจากรีวิวว่าเป็นร้านที่​ "ไวไฟ​แรงที่สุดในเลห์" เพื่อติดต่อโลกภายนอกสักหน่อย​ เข้าไปเต็มร้านจัดแจงสั่งกาแฟมาเต็มโต๊ะ​ ทีนี้ละบันเทิงเพราะเน็ตแล้ว​ คุยกันออกรสออกชาติกันทีเดียว​ กะจะโพสรูปสวยๆ​ สักหน่อย​ คุณพระเน็ตล่มใช้งานไม่ได้​ เพื่อนก็หัวร้อนคิดว่า​เจ้เจ้าของร้านคงไม่พอใจรึป่าว​ ปิดเน็ต​รึป่าว​ โมโหยกกรุ๊ปเช็คบิล​ ก่อนออกจากร้านร้องเพลงให้เจ้เจ้าของร้าน "รำคานก่บอกกันเด้อ​ จะบ่สิเออะเข้าร้านเจ้าอีก"

.

โมโหตึงตัง​ ออกมาหาร้านกินข้าวที่ต้องมี​ไวไฟ​ จนเดินมาเจอร้านบนรูฟทอปในย่านตลาด​ ชื่อ​ Rabsel cafe เข้ามา​เหยยยย ร้านดีแฮะ​ เเต่งร้่านสวยมาก​อาร์ตมาก​ สั่งอาหารมาเต็ม​ พร้อมถามหาไวไฟ​ คำตอบที่บาดใจชวนดราม่าคือ​ วันนี้ใช้เน็ตไม่ได้​ ให้มันได้แบบนี้สินะ​ สักพักพรืบบบ​ ไฟดับจร้าาา โอเค​ มึงงงง.... บิลลพลีสสสสส

.

เอาเป็นว่าล้มเลิกความพยายาม​ เดินกลับโรงเเรมผ่านร้านขายผลไม้และผัก​ ไม่พลาดคราวนี้จัดหนักเลย​ ทับทิมลูกเบ้อเริ่มเทิ่ม​ แอปเปิล​ สาลี่​ ส้ม​ และ​ "กะหล่ำปลี" เดี๋ยวเพื่อน​ เราไม่มีครัวจะเอากะหล่ำปลีไปทำเพื่อ​ เอ้า​เอาก็เอาตามใจ​ คุณมรึงงงงงงง











.



Day 4: ภูเขาแม่เหล็ก​ สบน้ำสองสี​ มูนแลนด์​

และสะพานเจ้าปัญหา

.

"ความโหยหาดราม่าสู่ดราม่าจริง​ และความโหดร้อยของโลกที่ปราศจาค wifi​"

.

หลังจากการแจ้งข่าวของ​ Jigmat ไกด์ของเราที่ยังไม่เจอหน้าเลยจนกรพทั่งเย็นเมื่อวาน​ ที่มาหาเพื่อเเจ้งเปลี่ยนแปลงแพลนการเที่ยวอีก​ 3 วันข้างหน้า​ เปลี่ยนแผนไม่ไปนอนที่​ "pangoong lake” ด้วยสภาพอากาสที่เลวร้าย​ และที่นีฝั่นไม่มีโรงพยาบาล​ ไม่มีฮีตเตอร์​ พี่แกคงกลัวพาพวกเราไปตายอยู่ที่นั่น​ หลังการหารือเสร็จสิ้น​ เพื่อน​ HR คนเก่งของเราก็เอ่ยปากถาม​ Jigma​t ว่าไม่เห็นหน้าเลยนะไปขับรถให้กรุ๊ปอื่นรึป่าว​ พี่แกก็ยิ้มแหยงๆ​ แล้วพูดแก้เขินว่า​ อ๋อ​ พอดีปวดท้อง​ถ้าหายก็คงไปด้วยเเหละ​ เห่อๆๆๆๆๆ

.

เข้านี้โรงแรมทำข้าวต้มแบบ​บุฟเฟ่ต์​เพราะพี่น้องชาวไทยของเราเต็มโรงแรมไปหมด​ หลังจากทานอาหารเช้ากันเสร็จลงมารอลุงชิลลิ้ง ก้พาลเหลือบเห็นพี่​ Jigma​t​ ของเรารออยุ่ด้วยกลายเป็นว่าผลการไซโคของเจ้​ HR​ ได้ผลแฮะ

.

ที่เเรกที่เรามาถึงคือ​ Magnetic Hill หรือ​ ภูเขาแม่เหล็ก​ เป็นแนวเขาที่มาวางตัวขวางกับถนนพอดีทำให้ดูเหมือนถนนหายเข้าไปใต้ภูเขา​ การถ่ายรูปที่นี่ต้องระวังอย่างเดียวคือ​ รถ​ ที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงพร้อมแตร​ ดีที่เรามากรุ๊ปแรกวิวสวยมากไม่มี​ noise ใดๆ​ สักพัก​ แก๊งพี่ไทยเราเริ่มตามมาถึงจอดรถเเซงหน้าเราเรียงเป็นตับหมดกัน​ วิว​ตรูรรรรร

.

ตลอดสองข้างทางเลียบแม่น้ำ​ indus บรรยากาศและทิวทัศน์​สองข้างทางสวยมาก​ ภูเขาที่เป็นสีเข้มสลับอ่อน​ มีเเนววางตัวเฉียงนะดับ​ เเม่น้ำสีมรกต​ ท้องฟ้าแบบฟ้าจริมๆ​ และเหล่าต้นไม้สีโทนร้อน​ มันได้มากๆ

.

ด้วยระยะ​ทางกว่า​ 120 กิโล​ กว่าจะไปถึงที่หมายความหิวก็มาเยือน​ ไม่วายต้องหยิบจับเสบียงมาบรรเทา​ความหิวกันไป​ ที่ซื้อมาตุนไว้เมื่อวานจากตลาดคือ​ แอปเปิล​ สาลี่​ และทับทิม​ [บ่าเก่าะ]​ ที่ลูกโตเท่ามะพร้าวเนื้อข้างในแดงฉ่ำมากๆ​ ถือเป็นของกินเล่นชั้นดีเลยทีเดียวเชียว

.

ที่ต่อมาคือ​ Moon Land หรือจุดชมวิวที่มีลักษณะภูมิประเทศ​คล้ายกับดวงจันทร์​ ภูเขาทั้งลูก​เป็นตะปุ่ม​ตะป่ำ​ สีเหลืองนวล​ เราไม่พลาดที่จะแชะรูปหมู่กัน​ วันนี้ไม่​ Jigmat​ คอยเป็นตากล้องจำเป็นให้​ งานนี้ไม่มีหัวขาด​แขนขาด

.

และแล้วเราก็มาถึง​ Lamayuru Gonpa ซึ่งก็เป็นวัดแบบที่เราไปมาเมื่อวาน​ นี่ถ้าระหว่างทางไม่มีธรรมชาติที่ตื่นตาตื่นใจคงเฟลแย่​ วัดนี้สงบเงียบ​และกำลังก่อสร้างต่อเติมอีกตามเคย​ และที่สำคัญเริ่มหิวกันมากๆแล้ว​ ปรึกษาอี่ตา​ Jigmat​ บอกว่าที่นี่ไม่ค่อยอร่อย​ มีร้านอร่อยกว่าขับจากนี้ไปประมาณ​ 20​ นาที​ เอิ่ม​ อยู่ในสายธารทัวร์นี้​สิน่ะ

.

พอมาถึงร้านหิวจัดเช่นเคย​ ขอสั่งอาหารที่ปรุงแต่งน้อยที่สุด​ เป็นต้นว่าผัดก้วยเต๊ยว ข้าวผัด​ ข้าวเปล่า​ เพื่อเอามากินกับอาหารกระป๋องที่เตรียมมาอย่างเต็มโต้ะ​ สั่งไก่ทอด​ มันบอกไม่มี​ แต่ทำไมคนอื่นสั่งมาทานกันได้เนอะ​ อันนี้คงผิดที่คนสั่งแล้วล่ะ​ ส่วนเรื่องเครื่องดื่มเราขอแนะนำ​ เป็นพวกน้ำร้อน​ หรือไม่ก็ชา​ หรือ​ กาแฟดำจะดชฟชัวิต​ อย่าสั่งอะไรที่ต้องใส่นม​ เพราะมันมีกลิ่นแปลกๆ​ เชคบิลมาอู้หู้ๆๆ​ แพงเอาเรื่องนะ

.

เดินทางต่อเเบบเคลิ้มๆ​ กับวิวข้างทาง​ จนมาเจอดราม่าจริงเข้าให้​ จู่ๆ​ ทหารก็โบกให้จอดรถ​ เหลือบมองไปข้างหน้า​ รถติดเป็นแถวยาวเลย​ พี่​ Jigmat​ และลุงชิลลิ่งไม่รอช้าลงไปสำรวจว่าเกิดอะไรขึ้นทราบข่าวว่ามีปัญหานิดหน่อยเกี่ยวกับการซ่อมสะพาน​ ตายห่าละจะมาจบทริปของวันที่นี่ป่าววะ

.

หลังจากนั่งรอ​ นอนรอ​ ลงมาถ่ายรูปเล่นได้สักครึ่ง​ ชม​ รถก็เริ่มขยับบ้างจนเรามาถึงจุดเกิดเหตุ​ เพราะไอ้หน่วยซ่อมสะพานเอาดินมากองทับถนนไปเลนส์นึงทำให้รถที่สวนกันไปมาไม่ได้ต้องรอทีละฝั่ง​ ละปัญหาคือไม่มีตำรว​จ​ ไม่มีทหารคอยดูทัเงาองฝั่งที่จะผล่อยรถอย่างเป็นระเบียบ​ ความเครียดเริ่มมา เมื่อมีคนฝ่าฝืน​ พี่ไกด์ของเราและบรรดาสหภาพไกด์ก้ลงไปเจรจาจัดการจราจร​ จนมีไอ้หนุ่มใจใหญ่ขับรถหกล้อฝ่าขบวนมา ความโมโหบังเกิดเพราะยิ่งทำให้ขยับไม่ได้​ มาก็ไม่ได้​ ไปก็ไม่ได้​ ถึงขั้นจะลงไม่ลงมือกัน​ สักพักทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี​ เราข้ามสะพานเจ้าปัญหามาได้

.

มารอรับพี่ไกด์​ ตรงอีกฝั่ง​ แต่พี่แกไม่ได้อยู่คนเดียว​ มาพร้อมพี่คนไทยอีก 4 คน​ ซึ่งรถแก๊งพี่แกเสียตั้งแต่บ่ายโมง​ และเป็นอีก​ 1 สาเหตุที่ทำให้รถติดยาวเหยียด​ อาศัยติดรถเรากลับไปที่พัก​ (ว่าเราหนักล่ะ​ ของแก๊งพี่แกหนักกว่าเยอะ)​

.

ปิดท้ายทริปของวันด้วยการเเวะไหว้พระที่ Likkir Gonpa​ แบบอิดโรยกันแล้ววว​ นี่ก็แปลกใจว่าทำไมทริปนี้มันวัดเยอะจังว่ะ​ อย่างกับเป็นทริปแสวงบุญ

.

ก่อนกลับโรงเเรมไม่พลาดภารกิจตามหา​ wifi​ ที่ร้านอาหารในเมือง​วันนี้มาลองร้านใหม่​เป็น​ Rooftop ที่สำคัญมี​ wifi​ แต้สำคัญกว่านั้นคือมันใช้ไม่ได้​ หัวเราะหน้าแห้งกันไป​ แต่แนะนำร้านนี้เสต็ก​ไก้อร่อยเสริฟพร้อมข้าวอินเดีย​ เเละผัดผักใสเกบือและเนย​ ซึ่งเราลงความเห็นว่าไอ้ผัดผักแบบปรุงให้น้อยนี่แหละสุดยอดดดด


นอนนแล้ววันนี้​ สวัสดี​

แล ขอจบภาค 1 ไว้เพียงเท่านี้ ครับ


















อกันตะลอน 29:11
 
 
 

Commentaires


©2019 by AGUNTALON. Proudly created with Wix.com

bottom of page